วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2552

จุดดำน้ำ Vertical wreck (เรือ Pak1 ฉายา เรือแก็สผีสิงห์)







ข้อมูลทั่วไป
เรือลำนี้มีความยาวประมาณ 60 เมตร มีชื่อว่า Koho Maru 5 ซึ่งหมายถึง แสงสว่างแห่งญี่ปุ่น เดิมเป็น ของบริษัทญี่ปุ่น ซึ่งต่อมาบริษัทของคนไทยได้ซื้อมาและเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Pak 1 หรือ Pak Wan และ ดัดแปลงเป็นเรือบรรทุกแก๊ส LPG

การเดินทางครั้งสุดท้าย
มีผู้พบสัญญาณไฟขอความช่วยเหลือของเรือลำนี้ ซึ่งบันทึกไว้ว่าเป็นปี ค.ศ.1995 ซึ่งก็เป็นปีที่เรือลำนี้จม จากการตรวจสอบกับบริษัท Lloyds of London แล้ว ปรากฏว่าไม่มีการแจ้งว่าเรือลำนี้มีการจมแต่อย่างใด หนึ่งในจำนวนลูกเรือที่รอดชีวิตจากเรือจมครั้งนั้น (ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ท่าเรือสมุทรปราการ) เล่าให้ฟังว่า เรือจมตอนตีสามซึ่งทุกคนกำลังนอนหลับลูกเรือส่วนใหญ่นอนอยู่ที่ด้านท้ายเรือยกเว้นพวกที่รอดชีวิต 4 คน นอนอยู่ที่หัวเรือ เขาได้ยินเสียงระเบิดดังมากซึ่งดังมาจากด้านท้ายเรือและเรือได้ จมลงอย่าง รวดเร็ว กว่าจะรู้สึกตัว เรือก็จมลงไปครึ่งลำแล้วลูกเรือบางคนวิ่งไปเปิดก๊าซในถังใบแรกที่อยู่หัวเรือออกซึ่งก็เปิดออกไปได้เพียงครึ่งเดียว ส่วนถังใบที่สองที่มีก๊าซอยู่เต็มถังนั้น จมน้ำลงไปแล้วไม่สามารถไปเปิดให้ก๊าซออก ไปได้ สาเหตุที่ต้องเปิดให้ก๊าซออกไปเนื่องจากเกรงว่าถ้าจมล่มไปในทะเลแล้วจะทำให้เกิดมลภาวะได้ พวกเขาต้องอยู่ในเรือชูชีพอยู่ถึง 7 วัน ในขณะที่อาหารและน้ำหมดลงไปตั้งวันที่ 4 แล้ว ใจในขณะนั้นทุกคนคิดว่าต้องตายแน่ หมดเรี่ยวแรงกันไปหมดแล้วแต่ในที่สุดก็มีเรือมาพบและช่วยชีวิตพวกเขาไว้ ก่อนที่เรือจะจมประมาณ 1 อาทิตย์ เขาได้ยินเสียงดังมากที่ห้องเครื่องยนต์ แต่ก็ไม่ได้สงสัยอะไร ลักษณะของเรือที่จม ในขณะที่เรือวิ่งอยู่นั้นปรากฏว่า ใบพัดเรือได้ฉีกขาด ทำให้น้ำทะลักเข้ามาทางด้านท้ายเรือแล้วน้ำทะเลเริ่มเข้าไปในห้องอับเฉาที่ 1 ด้านท้ายแล้วต่อเนื่องไปจนถึงห้องอับเฉาที่ 2 - 3 ส่วนห้องอับเฉาที่ 4 และ 5 นั้นถูกปิดสนิท น้ำทะเลเข้าไปไม่ ได้สาเหตุที่เรือลำนี้ตั้งตรงอยู่ได้เพราะห้องอับเฉาที่ 4 - 5 ซึ่งมีอากาศอยู่ภายใน และถังก๊าซใบแรกที่มีอากาศ อยู่ครึ่งหนึ่ง ทำให้ทำให้เป็น Buoyancy หัวเรือจึงเชิดขึ้นสู่ผิวน้ำในขณะที่ด้านท้ายเรือมีน้ำทะเลเป็นตัวถ่วงดุล ความหนักของเครื่องยนต์ จึงเป็นสาเหตุให้ท้ายเรือจมลงสู่พื้นทะเล เรือจมโดยด้านท้ายเรือตั้งอยู่กับพื้นทะเล และ หัวเรือพุ่งขึ้นสู่ผิวน้ำในลักษณะตั้งตรงเหมือนตึก และหัวเรือ ห่างจากผิวน้ำทะเลประมาณ 5 เมตร ซึ่งแตกต่างจากเรือจมโดยทั่ว ๆ ไป ที่ตัวเรือจะราบไปกับพื้นทะเล และหัวของเรือลำนี้มีรอยถูกชนจากเรือลำที่เผอิญผ่านมา ทำให้หัวเรือมีรอยฉีกขาดอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเมื่อเรือจมใหม่ ๆ ยังไม่มีการวางทุ่นไว้ให้เป็นที่สังเกตสำหรับเรือที่ผ่านไปมา วิศวกรซึ่งเป็นนักดำน้ำคำนวณว่า ถังทั้ง 2 ใบ มีความหนา ประมาณ 25 มม. ซึ่งสามารถทนอยู่ได้ไม่ต่ำ กว่า 20 ปี ถึงจะเกิดรอยรั่วเนื่องจากการกัดเซาะของน้ำทะเล ตำแหน่งที่จม ระยะทาง : 60 ไมล์ จากจังหวัดระยอง ระยะเวลาเดินทางโดยเรือ : 5 ชั่วโมง ความลึก : 60 เมตร ทัศนวิสัย : น้ำใสมองเห็นได้ประมาณ 20 - 40 เมตร กระแสน้ำ : ปานกลาง อุณหภูมิของน้ำ : 28 องศาเซลเซียส ระดับของนักดำน้ำ : ควรอยู่ในการดูแลของ Divemaster

ที่มา : คุณโป๋ โพสต์ไว้ใน
www.whalesharkthai.com เมื่อ 2 ก.พ. 2545 เวลา 05:41:40 น

ข้อมูลจาก การ post กระทู้ต่างๆ เกี่ยวกับ Vertical Wreck หรือ Pak 1 หรือ Pak Wan จาก www.whalesharkthai.com เมื่อปี พ.ศ. 2545
คุณ similans โพสต์ไว้เมื่อ 31 ม.ค. 2545 เวลา 19:18:20 น. ว่า “วันที่ 26 มกราคม 2545 กลุ่มร้านดำน้ำ Master Scuba Connection ของ ตา สุรางคนา ไปดำน้ำที่ Vertical wreck ไปถึงก็ปรากฏรูปที่เห็นอยู่นี่แหละครับ (รูปบน) (ค้นหารูปไม่พบ..ผู้รวบรวม) รอบ ๆ เรือมีฟองแก๊สลอยขึ้นมาตลอดเวลาพร้อมกับหัวเรือก็ลอยพ้นผิวน้ำขึ้นมา”
คุณโป๋ โพสต์ไว้เมื่อ 2 ก.พ. 2545 เวลา 05:29:57 น. ว่า “ดูจากในภาพและคำอธิบายที่ว่าหัวเรือลอยพ้นผิวน้ำขึ้นมานั้น เดาเอาว่า ก๊าซในถังใบที่สองที่เคยมีอยู่เต็มค่อย ๆ ออกไปเรื่อย ๆ จนในที่สุด ทำให้มีอากาศมากขึ้น จึงสามารถยกส่วนท้ายเรือที่ติดอยู่ที่พื้นให้ลอยขึ้นมาจนกระทั่งหัวเรือลอยพ้นผิวน้ำ ซึ่งในตอนนั้นจมอยู่ใต้ผิวน้ำประมาณ 5 เมตร เป็นแค่เดาเอาเองเท่านั้น ไม่รู้ว่าเหตุใดเรือถึงได้ลอยขึ้นมาได้” และต่อมาในวันที่ 3 ก.พ. 2545 เวลา 06:13:24 น. ก็โพสต์ต่อว่า “นักดำน้ำที่ไปกับ HighTide ไปดำน้ำที่ Vertical Wreck เมื่อวันเสาร์(2 ก.พ.)กลับมาถึงฝั่งตอนค่ำ ๆ แจ้งว่า เรือลอยห่างจากจุดเดิม 3 ไมล์ทะเล และเข้ามาใกล้ฝั่งมากขึ้น หัวเรือที่เห็นในภาพแรกนั้น ลอยพ้นน้ำขึ้นมา 5 เมตร และยังคงสภาพอยู่ในแนวตั้งเหมือนเดิม แสดงว่าด้านท้ายของเรือไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นทะเลแล้ว น่าจะลอยพ้นทะเลขึ้นมา 10 เมตร เพราะเดิมหัวเรือจมอยู่ใต้ผิวน้ำ 5 เมตร และเรือจะยังคงลอยไปเรื่อย ๆ ได้ลงไปสำรวจดูแล้ว พบว่าที่ถังแก๊สใบแรกในระดับความลึก 40 ฟุต ดูภาพใน Comment 5 มีแก๊สพุ่งออกมาออกมาอยู่ตลอดเวลา แต่มองไม่เห็นว่าเป็นการพุ่งออกมาจากส่วนไหน เพราะมีตะแกรงบังอยู่ ลักษณะเหมือน Reg. FreeFlow (คงนึกภาพออก)” คุณโป๋ ได้รวบรวมข้อมูลของ Vertical wreck ไว้ดังนี้

Pak1 ลอยขึ้นมาเหนือน้ำ (น.ส.พ.เดลินิวส์)
กองทัพเรือเตือนอันตราย ซากเรือบรรทุกแก็สเกือบ 700 ตันจมอยู่กลางทะเลใกล้เกาะกูด เกิดลอยขึ้นมาเหนือน้ำและเคลื่อนจากจุดเดิมมาเรื่อยๆ หากมีเรือพุ่งเข้าชนรับรองแก็สระเบิดแน่ รีบหาทางวางทุ่นลอยแจ้งตำแหน่งให้เรือเดินทะเลทราบก่อนเกิดเหตุร้าย เผยเป็นเรือบรรทุกแก็สจำนวนมากจะไปเวียดนามแต่จมเสียก่อนพร้อมลูกเรือ 9 คนตั้งแต่ ปี 39 เรื่องราวเรือแก๊ส เปิดเผยขึ้นเมื่อวันที่ 5 ก.พ. น.อ.สุพรรณ เหมมาลา ผอ.กองยุทธการ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือภาคที่ 1 กองเรือยุทธการ ได้รับแจ้งจาก นายวิเชียร สิงห์โตทอง ผู้ประกอบกิจการท่องเที่ยวดำน้ำ จ.ระยอง ว่าได้ พบซากเรือบรรทุกแก๊สชื่อ “แพ๊ควัน” ที่จมอยู่ใต้ทะเลด้านเกาะกูด จ.ตราด ได้โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำประมาณ 15 เมตร และได้เคลื่อนที่จากแหล่งเดิมที่จมลง ห่างออกมาประมาณ 6 กม. คาดว่ากำลังลอยมุ่งหน้าไปทางเกาะเสม็ด จ.ระยอง เกรงว่าจะเกิดอันตรายกับเรือที่แล่นผ่านไปมา หากพุ่งเข้าไปชนซากเรือดังกล่าว จึงรายงานผู ้บังคับบัญชาทราบ ต่อมา พล.ร.ท.อกนิษฐ์ หมื่นศรี ผบ.กองเรือภาคที่ 1 กองเรือยุทธการ ได้สั่งการให้นำเฮลิคอปเตอร์ จากหมวดบินเฉพาะกิจ ขึ้นทำการบินลาดตระเวนตรวจสอบเรือดังกล่าว บริเวณพิกัดแลตติจูด 11 องศา 43 ลิบดาเหนือ ลองติจูด 101 องศา 39 ลิบดาตะวันออก พบซากเรือบรรทุกแก๊สลำดังกล่าวได้เคลื่อนตัวและลอยขึ้นมาเหนือน้ำจริงตามที่ได้รับแจ้ง จึงรีบรายงานศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือทราบ เนื่องจากเกรงว่า ถ้ามีเรือประมง หรือเรือบรรทุกสินค้า และเรืออื่นๆ หากพุ่งเข้าชนจะเกิดระเบิดขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากเรือลำดังกล่าวมีแก๊สชนิด แอลพีจี บรรจุอยู่ในถัง ถึง 2 ถังจำนวน 650,531 กก. อีกทั้งยังมีน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ในเรือเหลืออยู่อีกประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ด้วย หลังได้รับรายงาน พล.ร.ท. อกนิษฐ ์ เปิดเผยว่าเรือลำดังกล่าวเป็นเรือที่ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือ ได้แจ้งให้กองเรือภาคที่1 ตรวจสอบเมื่อวันที่ 29 ส.ค.2539 ว่าให้จัดกำลังทางเรือ อากาศยาน และอื่นๆ ช่วยค้นหาผู้ประสบภัยทางทะเลจำนวน 9 คน กรณีเรือบรรทุกแก๊ส แพ็ควัน เกิดอับปางกลางทะเลทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะกูด จ.ตราด โดยเรือลำดังกล่าวได้เดินทางจากท่าเรือ บีไอ.เอสโซ่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เพื่อเดินทางไปยังเมืองท่าวองตู ประเทศเวียดนาม แต่ได้เกิดอับปางเสียก่อน จากการตรวจสอบปรากฏว่า เรือลำนี้เกิดอับปางตั้งแต่ วันที่ 25 ส.ค.39 การค้นหาผู้ประสบภัยจำนวน 9 คนเป็นไปด้วยความยากลำบาก และหาไม่พบแต่อย่างใด ต่อมาได้รับรายงานว่ามีผู้รอดชีวิต 1 คนสูญหายไป 8 คนจนบัดนี้ก็ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีผู้รอดชีวิตหรือไม่ ผบ.กองเรือภาคที่1 กล่าวต่อว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 เม.ย.42 ได้จัดชุดปฏิบัติการพิเศษทางเรือ กองเรือภาคที่ 1 ออกตรวจสอบสภาพของเรือ พบว่ายังอยู่ในสภาพปกติโดยได้ให้ทำความสะอาดท่อแก๊ส วาล์ว เพราะเกรงว่า ถ้าสิ่งเหล่านี้เกิดชำรุดจะทำให้กำลังของแก๊สดันระเบิดขึ้นได้ และอาจรั่วสร้างมลภาวะทางน้ำ ส่วนสภาพของเรือ ยังอยู่ในลักษณะแนวตั้ง ด้านท้ายเรือจมลงในพื้นดินและทรายลึกประมาณ 5 เมตร ส่วนที่เหลืออีก 55 เมตรยังอยู่กลางน้ำ หัวเรือต่ำกว่าระดับน้ำเพียง 5 เมตร เท่านั้น สภาพเรือลักษณะเหมือนเคยถูกชนมาก่อนอีกด้วย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เรือลำดังกล่าว จมมาแล้วเกือบ 6 ปี ซึ่งบริเวณดังกล่าว เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำหรับนักดำน้ำทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ เป็นแหล่งศึกษาเพาะพันธุ์ปลาที่มีขนาดใหญ่หลายชนิด ส่วนเรือลำดังกล่าว เป็นเรือสัญชาติไทยเป็นของบริษัท พีเอเค.ไลน ์ จำกัด ก่อนที่คนไทยจะซื้อมา เป็นของประเทศญี่ปุ่นชื่อ โกโฮมารู มีความยาวขนาด 60 เมตร

ขณะนั้นกองทัพเรือได้ประสานขอความช่วยเหลือไปแล้ว แต่ไม่ได้รับการตอบรับจากบริษัทฯ ในการกู้ซากเรือแต่อย่างใด จึงปล่อยเรือลำนี้ไว้อย่างนั้นมาถึงเกือบ 6 ปี ซึ่งเป็นอันตรายต่อการเดินเรือเป็นอย่างมาก ถ้ามีเรือแล่นมาชนอาจเกิดระเบิดขึ้นได้ หรือถ้าแก๊สรั่วตามความเสื่อมของท่อหรือวาล์ว ก็อาจจะเป็นอันตรายต่อภูมิทัศน์ทางทะเล สัตว์ พืชและสิ่งมีชีวิตก็จะเป็นอันตราย ปริมาณแก๊สเกือบ 7 แสน กก. รวมทั้งน้ำมันเชื้อเพลิง ล้วนแต่เป็นอันตรายทั้งสิ้น และขณะนี้เรือได้เคลื่อนตัวจากตำแหน่งเดิมไปมาก หากบรรดาเรือต่างๆ ไม่ทราบอันตรายก็จะเกิดขึ้นแน่ ทางกองทัพเรือต้องรีบหาแนวทางในการวางทุ่นลอยและแจ้งให้ชาวเรือทราบโดยเร็ว อีกทั้งทางบริษัทฯ ต้องรีบหาแนวทางกู้เรือให้เร็วที่สุดด้วย. จากการตรวจสอบพบว่าขณะนี้รอบๆ บริเวณพิกัดที่เรือลอยขึ้นมาเหนือน้ำได้มีคราบน้ำมันลอยเป็นลักษณะกลมใสเป็นวงกว้าง คาดว่าเป็นคราบน้ำมันดีเซลที่ใช้กับเครื่องยนต์เรือ ส่วนสาเหตุที่มีน้ำมันรั่วไหลขึ้นมานั้น คงเป็นสาเหตุที่เรือถูกคลื่นลม ตัวเรือกระแทกกับพื้นดินและทรายใต้ทะเล จนเป็นสาเหตุให้น้ำมันเริ่มรั่วไหลออกมา ส่วนสาเหตุเบื้องต้น สันนิษฐานว่า เรือบรรทุกแก๊สลอยตัวขึ้นมาเหนือน้ำนั้นคงเกิดจาก ขณะนี้มีอากาศร้อน น้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติ จนทำให้แก๊สที่บรรจุอยู่ในถังฟูลอยตัว จนดันให้เรือลอยตัวสูงขึ้นมาก็เป็นได้

ที่มา : น.ส.พ.เดลินิวส์
http://www.dailynews.co.th ไม่สามารถระบุวันที่ได้


เรือแพ๊ควันแก๊สรั่วอันตรายห้ามใกล้รัศมี 3 กม. (น.ส.พ.เดลินิวส์)
ทหารเรือประกาศเขตอันตรายบริเวณที่เรือบรรทุกแก๊ส "แพ๊ควัน" ล่มแล้ว หลังส่งประดาน้ำลงไปสำรวจพบว่า มีแก๊สรั่วออกมาจำนวนมาก สั่งห้ามเข้าใกล้ในรัศมี 3 กม.เกรงจะเกิดประกายไฟและทำให้เกิดระเบิดขึ้น ขณะเดียวกันตำแหน่งเรือได้ลอยออกห่างจากเกาะช้างแล้ว มุ่งหน้าเข้าไปในเขตเขมร ด้าน บริษัทประกันภัยเริ่มหารือกันเพื่อกู้เรือแล้วพร้อมกับเตรียมรื้อเรื่องการขอรับสินไหมทดแทนของ "แพ๊ควัน" ขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง หลังโผล่พ้นน้ำของเรือบรรทุกแก๊ส "แพ็ควัน" ของบริษัท แพ็คไลน์ จำกัด ที่จมลงสู่ก้นทะเลพร้อมแก๊ส แอลพีจี. เกือบ 700 ตัน ไม่ห่างจากเกาะกูด จ.ตราด เท่าไรนัก ขณะเดินทางมุ่งหน้าไปประเทศเวียดนาม ล่าสุดกองเรือภาคที่1 ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ไปวางทุ่นลอยและติดสัญญาณไฟที่ซากเรือเพื่อป้องกันอุบัติเหตุแล้ว และถ้าในระยะยาวหากไม่มีใครมากู้เรือ ก็จะกู้เองหรือจมทิ้งที่ในทะเลลึก เพื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหรือแหล่งเพาะพันธุ์ปลาต่อไป ด้านพัชรประกันภัย ก็เร่งประสานกับผู้เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการกู้ซากเรือ แต่ต้องใช้เวลาเนื่องจากต้องตรวจสอบว่า ในเรือยังมีแก๊สอยู่หรือไม่ ถ้ามีก็ต้องเอาแก๊สออกไปเสียก่อน ขณะเดียวกันลูกเรือต่างออกมาเปิดเผย บางรายก็ได้เงินจากประกันสังคม บางรายก็ได้เงินก้อนไปเรียบร้อยแล้ว แต่ทุกคนก็ยังอยากให้กู้ซากเรือ เพื่อค้นหากระดูกญาติที่เสียชีวิตเพื่อนำมาบำเพ็ญกุศลนั้น ความคืบหน้าของเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 8 ก.พ. พล.ต.ท.อกนิษฐ ์ หมื่นศรี ผู้บัญชาการกองเรือภาคที่1 ได้รับรายงานจาก น.ต.ชำนาญ สอนแพง นายทหารเรือยุทธการ หัวหน้าชุดปฏิบัติสำรวจเรือแพ็ควัน ที่ จ.ตราด โดยได้นำเรือตรวจการณ์ หมายเลข 214 นำกำลังพลและอุปกรณ์ ไปดำน้ำสำรวจทราบ ที่แลตติจูด 11 องศา 39.41 ลิปดาเหนือ ลองติจูด 101 องศา 40.99 ลิปดาตะวันออก ผลจากการสำรวจพบว่า สภาพตัวเรือบริเวณหัวเรือโผล่พ้นจากผิวน้ำขึ้นมาประมาณ 5 เมตร ส่วนท้ายเรือ ขณะนี้ยังจมอยู่ ใต้ผิวพื้นทะเลซึ่งเป็นดินโคลน ลึกประมาณ 55 เมตร สภาพท้องเรือทั่วไปยังอยู่ในสภาพดี ที่ดาดฟ้าเรือมีสาหร่าย หอย และสิ่งมีชีวิตเป็นจำนวนมาก ไม่สามารถระบุส่วนของเรือได้ สะพานเดินเรือผุพัง สภาพถังแก๊สที่บรรจุแก๊สแอลพีจี. ยังมีความสมบูรณ์ สภาพของวาล์ว เปิด-ปิด มีหอยเกาะอยู่ เป็นจำนวนมากและหนามาก ส่วนตั้งแต่หัวเรือลงมามีความลึกประมาณ 10 เมตร พบฟองอากาศซึ่งเป็นแก๊สรั่วออกมาบริเวณใต้ตะแกรง ช่องทางเดินกลางลำเรือตลอดแนว มีฟองอากาศผุดจากเรือขึ้นสู่ผิวน้ำ เป็นฟองอากาศจำนวนมาก ประมาณ 10 ลิตร ต่อนาที ทางชุดสำรวจจึงไม่กล้าถอดอุปกรณ์ หรือเข้าไปในตัวเรือ เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดอันตรายต่อสุขภาพของเจ้าหน้าที่ ด้าน พล.ร.ท.วิชัย จันทร์แทน เจ้ากรมอุทกศาสตร์ กล่าวว่า ในวันนี้ได้จัดเตรียมอุปกรณ์ชุดไฟลงเรือตรวจการณ์ หมายเลข 41 ออกจากท่าเรือแหลมเทียน ฐานทัพเรือสัตหีบ คาดว่าจะสามารถติดตั้งสัญญาณไฟได้ ในวันที่ 9 ก.พ. ซึ่งการติดตั้งสัญญาณไฟในครั้งนี้ จะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากการทำงานมีวงจรไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ และมีแก๊สรั่วออกมาจากเรือมากขนาดนี้ ถ้าเกิดประกายไฟขึ้นอาจทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้ และหลังจากที่ทราบว่ามีแก๊สรั่วออกมามาก จึงได้เรียนให้ พล.ร.อ.ประเสริฐ บุญทรง ผบ.ทร. ทราบ พร้อมกับประกาศชาวเรือให้ประกาศเขตเรือแพ็ควัน เป็นเขตอันตราย ห้ามเรือผ่านเข้ามาในระยะ 3 กม.เป็นอย่างน้อย ถ้าการดำเนินการยังยืดเยื้อไม่สามารถดำเนินการได้ ในระยะแรก ก็จำเป็นต้องติดไฟในลักษณะประภาคารเคลื่อนที่ไว้ที่บริเวณเรือลำนี้ ซึ่งจะดำเนินการในเดือน มี.ค.นี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ตำแหน่งเรือแพ็ควัน ได้เคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ มุ่งหน้าไปทางประเทศกัมพูชา ห่างออกไปจากพิกัดเดิมประมาณ 8 กม. ห่างจากเกาะกูด จ.ตราด ประมาณ 80 กม. ห่างจากเกาะช้างประมาณ 70 กม. สำหรับแก๊สแอลพีจี.หรือก๊าซหุงต้มชนิดเหลวสำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงในอุตสาหกรรม และเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี สามารถละลายในน้ำได้ ไม่มีสี แต่มีกลิ่น และถ้าเติมสารประกอบซัลเฟอร ์ จะเป็นวัตถุไวไฟ และสามารถติดไฟได้เองภายใต้อุณหภูมิ 400-500 องศาเซลเซียส และสามารถทำปฎิกิริยารุนแรงกับคลอรีน โบรมีน ฟลูออรีน มีผลกระทบทางระบบทางเดินหายใจ จะทำให้เกิดระคายเคืองต่อจมูก และระบบทางเดินหายใจ และหากสูดเข้าไปปริมาณมาก จะทำให้หมดสติได้ รวมทั้งบริเวณที่สัมผัสจะเกิดแผลให้เห็นได้อย่างชัดเจน นอกจากนั้นหากปล่อยให้แก๊สรั่วอยู่อย่างนี้ จะทำให้เกิดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมทางทะเลอย่างแน่นอน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญได้ให้ข้อมูลว่า ถึงแม้ว่าของเหลวซึ่งเป็นก๊าซจะรั่วออกมาแล้วก็ตาม แต่ถังที่เคยบรรจุแก๊สทุกใบจะมีแรงดัน ซึ่งก็ยังมีโอกาสระเบิดได้ทุกเมื่อ หากมีแรงอัด หรือแรงกระแทกอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันการแตกตัวของก๊าซในสภาพของเหลวกลายเป็นไอ สามารถขยายตัวได้ถึง 270 เท่า และถ้าหากมาผสานกับอากาศ ความร้อน เชื้อเพลิงที่เหมาะสมก็มีอัตราเสี่ยงในการระเบิดได้อีกเช่นกัน นายเมตตา บันเทิงสุข รองเลขาธิการ สพช.กล่าวว่าการที่แก๊สแอลพีจี. รั่วซึมออกมาจากเรือที่จนอยู่ในทะเลนั้น ไม่มีอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมในท้องทะเลบริเวณนั้น ซึ่งแก๊สที่รั่วออกมาจะเป็นแรงดันอากาศขึ้นมาเป็นฟองอากาศ และระเหยไปไม่มีอันตราย แต่ก็ควรระมัดระวังไม่ให้เกิดประจุไฟฟ้า เพราะอาจจะเกิดเปลวไฟขึ้นมาได้ ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับแผนการกู้เรือก๊าซอย่างปลอดภัย ควรถามรายละเอียดกับกรมโยธาธิการ ซึ่งรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยในการขนส่งเชื้อเพลิงโดยตรง ที่พัชรประกันภัย อาคารเมอร์ คิวรี่ แยกชิดลม ได้มีการประชุมกันระหว่างตัวแทนบริษัทกรุงเทพประกันภัยซึ่งเป็นผู้รับประกันสินค้าที่บรรทุกในเรือแพ็ควัน กับบริษัทพัทรประกันภัยซึ่งรับประกันในส่วนของตัวเรือแพ็ควัน โดยการประชุมต้องการหาข้อสรุปในการกู้ซากเรือเป็นอันดับแรก เนื่องจากทางบริษัทกรุงเทพประกันภัยได้รับการประสานมาจากกองเรือภาคที่1 ในเรื่องการกู้ซากเรือ นอกจากนั้นทางบริษัททั้งสองจะไดหารือกันถึงเรื่องการจ ่ายสินไหมทดแทนให ้กับบริษัทแพ็คไลน ์ ไปแล ้วแต ่ได ้มีลูกเรือมาเปิดเผยความไม ่ชอบมาพากลในการเรื่องการเบิกสินไหมทดแทน จึงได ้นำเรื่องรายละเอียดของเรือแพ็ควันมาร ่วมกันพิจารณาอีกครั้ง โดย พัชรประกันภัย รับประกันตัวเรือแพ็ควันไว ้ในวงเงิน 17.5 ล ้านบาท ส ่วนการประกันราคาสินค ้าซึ่งบริษัทกรุงเทพประกันภัยรับผิดชอบนั้น ยังไม ่เป็นที่เปิดเผย

ที่มาข้อมูล
http://www.whalesharkthai.com
วิชาการ.คอม (
http://www.vcharkarn.com/vnews/5837) สืบค้นเมื่อ 19 มี.ค.2552
http://www.dailynews.co.th
http://www.thaiwreckdiver.comhttp://www.aquanautsdive.com/news/dj/hiddenwr
Read more >>

ปรมาจารย์นักดำน้ำกองทัพเรือดับปริศนาที่เรือแพ็ควัน



ขณะถ่ายภาพการฝึกของนักเรียน
เมื่อเวลา 05.30 น. วันที่ 18 มี.ค.2552 ผู้สื่อข่าวได้รับทราบว่า เรือหลวงมันกลาง ซึ่งเป็นเรือระบายพลขนาดกลาง ได้นำศพของ ร.อ. มงคล โป๊ะแดง อายุ 43 ปี ประจำหมวดประดาน้ำ แผนกปฎิบัติการใต้น้ำ กองทดสอบสรรพาวุธ กรมสรรพาวุธทหารเรือ(พื้นที่สัตหีบ) อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี มาส่งที่ ท่าเทียบเรือแหลมเทียน ฐานทัพเรือสัตหีบ เนื่องจากเสียชีวิตเพราะลงไปดำน้ำฝึกนักเรียนประดาน้ำ ทำชั่วโมง และถ่ายภาพเรือแพ็ควัน จึงรุดไปตรวจสอบ พบเรือหลวงมันกลาง กำลังเข้าเทียบท่าเรือ บริเวณท่าเทียบเรือมีข้าราชการสังกัดกรมสรรพาวุธทหารเรือ นักประดำน้ำ ภรรยา บุตร และญาติของ ร.อ.มงคล ได้มารอรับศพ ด้วยบรรยากาศเศร้าสลด เนื่องจาก ร.อ.มงคล เป็นที่รักใคร่ของผู้บังคับบัญชา รุ่นพี่ เพื่อน รุ่นน้อง และลูกศิษย์ทุก ๆ คน
หลังจากนั้นได้นำศพส่งชันสูตรที่โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ ต.พลูตาหลวง อ.สัตหีบ ทั้งนี้อุบัติเหตุดังกล่าว เกิดขึ้นขณะที่ ร.อ.มงคลได้รับมอบหมายให้เป็นผู้อำนวยการฝึก นักเรียนประดาน้ำรุ่นที่ 24 จำนวน 41 คน โดยได้พานักเรียนลงเรือหลวงมันกลาง ไปฝึกดำน้ำที่เรือแพ็ควัน (เรือแก๊สผีสิงที่ กองเรือภาคที่ 1 ลากมาจมไว้ที่อ่าวจังหวัดระยอง ) ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2552 จะสิ้นสุดในวันที่ 30 มีนาคม 2552 แต่ต้องมาเสียชีวิตขณะดำน้ำทำชั่วโมง และฝึกนักเรียน
ร.ท.มงคล บุญทัน หัวหน้าชุดฝึกที่ร่วมเดินทางไปด้วย กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีใครคาดคิดว่าจะต้องสูญเสียกำลังพลที่มีความสามารถพิเศษขณะดำน้ำได้ เพราะขณะที่ดำน้ำทำชั่วโมง คอยฝึกนักเรียนใต้น้ำบริเวณเรือแพ็ควัน ก็ไม่มีสิ่งผิดสังเกตแต่อย่างใด จนในที่สุดได้ขึ้นมาบนเรือพร้อม ๆ กัน แต่ ร.ท.มงคล โป๊ะแดง ได้หยิบกล้องวีดีโอถ่ายภาพใต้น้ำโดดลงไปจากเรือและดำน้ำเพื่อลงไปถ่ายภาพการฝึกของนักเรียน และถ่ายภาพเรือแพ็ควัน แต่ปรากฏว่าขณะที่ดำไปทางด้านหัวเรือได้สักครู่ เห็นว่ามีอาการแน่นิ่งไป จึงได้เกิดความสงสัย ให้นักเรียนช่วยกันพยุง รักษาระดับน้ำจนขึ้นบนเรือ ถอดอุปกรณ์ออกจนหมด ประสานขอเฮลิคอปเตอร์จาก ทัพเรือภาคที่ 1 รับขึ้นบกเพื่อรักษาในห้องปรับแรงดันอากาศสูง แต่ไม่ทัน ร.ท.มงคลหมดลมหายใจไปอย่างรวดเร็ว และยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดว่าเป็นอะไร ต้องรอผลการผ่าพิสูจน์ของแพทย์ก่อน
เบื้องต้นน่าจะเกิดจากดำน้ำนานเกินไป ทำให้ร่างกายอ่อนเพลียเพราะน้ำที่เรือแพ็ควันลึกประมาณ 40 เมตร ส่วนเรื่องอุปกรณ์ดำน้ำคงไม่น่ามีปัญหาอะไร มีสภาพใหม่ ระบบทันสมัย ระบบวงจรปิด หรือที่เรียกว่า สกรูบาร์
สำหรับเรือแพ็ควัน ในปัจจุบันใช้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว และสอนนักดำน้ำระดับสูง อดีตเป็นเรือบรรทุกแก๊สแอลพีจี มีความยาว 61.80 เมตร กว้าง 10 เมตร กินน้ำลึก 4.50 เมตร ได้จมลงสู่ก้นทะเล บริเวณปลายแหลมใบลาน เกาะช้าง จังหวัดตราด เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2539 มีลูกเรือเสียชีวิตทั้งหมด 11 คน สูญหาย 9 คน และเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2545 หัวเรือแพ็ควันได้ลอยโผล่เหนือน้ำสูงจากผิวน้ำประมาณ 5 เมตร กองเรือภาคที่ 1 กองเรือยุทธการ ได้ทำการสำรวจ และระเบิดแก๊สออกจนหมด ลากเรือมาจมไว้ที่ อ่าวจังหวัดระยอง พิกัด แลตติจูด 12 องศา 10 ลิปดาเหนือ ลองติจูด 101 องคา 45 ลิปดาตะวันออก น้ำลึก 40 เมตร ขณะนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวดำน้ำที่สมบูรณ์ เป็นที่นิยมของนักดำน้ำ และเป็นโรงเรียนสอนดำน้ำระดับสูงอีกด้วย ซึ่งเรือแพ็ควัน ได้ถูกขนานนามว่าเป็นเรือผีสิง เพราะลูกเรือเสียชีวิตติดอยู่ในระวางเรือ และหายสาบสูญถึง 9 คน ศพล่าสุดที่ต้องสังเวยเรือแพ็ควัน ก็คือ ร.อ.มงคล โป๊ะแดง ปรมาจารย์นักดำน้ำแห่งกองทัพเรือ
สำหรับ ร.อ.มงคล อายุ 43 ปี มีภูมิลำเนาเดิมอยู่ จ.นนทบุรี เป็นนักเรียนจ่าทหารเรือ โรงเรียนชุมพลทหารเรือรุ่นที่ 26 นักเรียนประดาน้ำ รุ่นที่ 12 มีผลงานมากมายในการปฎิบัติงานใต้น้ำ และถอดทำลายวัตถุระเบิด ตำแหน่งปัจจุบัน ประจำหมวดประดาน้ำ แผนกปฎิบัติการใต้น้ำ ถอดทำลายอมภัณฑ์ กองทดสอบสรรพาวุธ กรมสรรพาวุธทหารเรือ ได้รับมอบหมาย

ที่มา : น.ส.พ.ข่าวสด 18 มี.ค.2552
http://www.matichon.co.th/khaosod/view_newsonline.php?newsid=TVRJek56TTJNemMzTlE9PQ==
Read more >>

วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2552

นักท่องเที่ยวแห่ดำน้ำชมฝูงบินปะการังภูเก็ต


ภูเก็ต 16 มี.ค.2552 .- นายมาโนช พันธ์ฉลาด นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เปิดเผยถึงโครงการฝูงบินปะการังเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวทางทะเลบริเวณอ่าวบางเทา จ.ภูเก็ต ว่า

หลังจากนำซากเครื่องบิน 10 ลำ จมทะเลตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2551 ที่ผ่านมา ขณะนี้เริ่มมีปะการังเกาะและปลาหลายชนิดเข้ามาอาศัยอยู่ในบริเวณฝูงบินปะการังมากขึ้น โดยมีนักท่องเที่ยวมาดำน้ำดูความคืบหน้าของซากเครื่องบินเฉลี่ยวันละกว่า 300 คน ยังไม่รวมถึงนักท่องเที่ยวที่ใช้บริการของบริษัทนำเที่ยวต่าง ๆ

ล่าสุดทราบว่าหลายบริษัทบรรจุการท่องเที่ยวดำน้ำชมฝูงบินปะการังเข้าไปอยู่ในโปรแกรมดำน้ำฝั่งทะเลอันดามันแล้ว เชื่อว่าอนาคตจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเพิ่มขึ้น ขณะนี้การดำน้ำชมฝูงบินปะการังยังสามารถชมได้ฟรี แต่หลังจากนี้จะเก็บค่าธรรมเนียมดำน้ำที่จุดดังกล่าว เพื่อนำรายได้มาบำรุงรักษาฝูงบินปะการัง ซึ่งอยู่ระหว่างร่างข้อบังคับตำบลว่าด้วยการจัดเก็บค่าธรรมเนียมเข้าชมฝูงบินปะการัง
นอกจากนี้ อบต.เชิงทะเล มีมติผ่านงบประมาณ 500,000 บาท เพื่อสร้างทุ่นกันแนวรอบโครงการฝูงบินปะการัง เพื่อป้องกันเรืออวนลากอวนรุนลอบเข้ามา.
สำนักข่าวไทยอัพเดตเมื่อ 2009-03-16 14:53:54
Read more >>

วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2552

พบศพเหยื่อเรือล่มที่ภูเก็ตอีก1ศพเหลือพ่อครัวไทย

คมชัดลึก : เตรียมเผาศพ นทท.ออสเตรียบ่ายนี้ ขณะที่ ตร.น้ำ ร่วมกับมูลนิธิกุศลธรรม/นักประดาน้ำออกเดินทางไปยังจุดเรือจม เพื่อร่วมกู้ศพผู้เสียชีวิตอีก 4 ราย และพบอีก 1 ศพคาดเป็นชาวญี่ปุ่นยังเหลือพ่อครัวไทย
ความคืบหน้าการกู้ศพของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เรือโชคสมบูรณ์ 19 ของบริษัท ไดว์ เอเชีย จำกัด ซึ่งล่มกลางทะเลอันดามัน ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าวันนี้ (12 มี.ค.) พ.ต.ท.วัลลพ พวงผกา สารวัตรสถานีตำรวจน้ำภูเก็ต พร้อมด้วย พ.ต.ท.ปัญญา ชัยชนะ ผู้บังคับการเรือ ต.814 หรือเรือคุณพุ่ม ได้นำเจ้าหน้าที่นักประดาน้ำ รวมทั้งเจ้าหน้าที่มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต ออกเดินทางจากท่าเทียบเรือรัษฎา ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต ไปยังจุดที่เรือจมเพื่อร่วมกับนักประดาน้ำของทางบริษัทไดว์ เอเชีย จำกัด ซึ่งนัดเจอกันที่บริเวณที่เกิดเหตุ เพื่อวางแผนในการกู้ศพของผู้เสียชีวิตที่พบเพิ่มเติมจำนวน 4 คนเมื่อเย็นวานนี้ (11 มี.ค.) ประกอบด้วยชาวออสเตรีย 2 คน และชาวสวิสเซอร์แลนด์ 2 คน พร้อมทำการค้าหาผู้สูญหายอีก 2 คน ซึ่งเป็นกุ๊กคนไทย กับนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น
พบศพเหยื่อเรือล่มที่ภูเก็ตอีก1ศพเหลือพ่อครัวไทย
พ.ต.ท.วัลลภ กล่าวด้วยว่า และเมื่อเวลาประมาณ 12.00 น. วันนี้(12 มี.ค.) กลุ่มนักดำน้ำลึกชาวต่างประเทศ 3 คน สามารถเก็บกู้ผู้ประสบภัยได้รวม 5 ศพ ประกอบด้วย นักท่องเที่ยวชาวออสเตรียชายและหญิง 2 คนคือ Klaus Konradoer และ Monika Schuster รวมทั้งชายและหญิงสวิตเซอร์แลนด์อีก 2 คน คือ Rolf Niederberge และSibylle Bucher ส่วนอีก 1 ศพ นั้น เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถระบุได้ แต่สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น ชื่อ Hirotsuka Yuba อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยังไม่พบร่างนายศรทัศน์ จำปา พนักงานทำครัวประจำเรือโชคสมบูรณ์ 19
พ.ต.ท.ปัญญา ชัยชนะ ผู้บังคับการเรือ ต.814 หรือเรือคุณพุ่ม กล่าวว่า คาดว่าจะสามารถปฎิบัติการได้ก่อนเที่ยงวันนี้ ( 12 มี.ค.) แต่อาจจะต้องใช้เวลาพอสมควร เนื่องจากศพเริ่มมีขนาดใหญ่และติดอยู่ภายในห้องพัก ประกอบกับสภาพอากาศไม่ดีนัก เบื้องต้นที่ได้มีการหารือกันนั้นจะมีนักประดาน้ำลงไปปฎิบัติการใต้น้ำจำนวน 4 คน และปฏิบัติหน้าที่อยู่ใต้น้ำประมาณ 20-30 นาที เพราะจะต้องขึ้นมาปรับสภาพร่างกายเนื่องจากจุดที่ดำลงไปมีระดับความลึกกว่า 70 เมตร ในขณะเดียวกันก็ต้องค้นหาผู้สูญหายที่เหลืออีก 2 รายต่อไปด้วย
ทางด้านนายโชตินรินทร์ เกิดสม ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดภูเก็ต กล่าวถึงการดำเนินการเกี่ยวกับศพของนาง Jetzinger Gabrielle นักท่องเที่ยวชาวออสเตรีย ว่า ทางกงสุลใหญ่ของออสเตรียและญาติได้เดินทางมาติดต่อขอรับศพแล้ว และมีกำหนดจะบำเพ็ญกุศลทางศาสนาพุทธ และทำการฌาปนกิจ วันนี้ ( 12 มี.ค.) เวลาประมาณ 14.00 น. ที่วัดพระทอง อ.ถลาง จ.ภูเก็ต นายโชตินรินทร์ กล่าว อีกว่านอกจากนี้บิดาของผู้สูญหายชาวญี่ปุ่นและญาติได้ประสานผ่านทางเจ้าหน้าที่สถานทูตญี่ปุ่น มายังศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจแก้ไขปัญหาเรือล่มจังหวัดภูเก็ต เพื่อขอทราบรายละเอียดและขอเดินทางไปร่วมสังเกตการณ์ ณ จุดเกิดเหตุด้วย
ด้าน น.ส.อโนมา วงศ์ใหญ่ ผู้ช่วยผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภูเก็ตกล่าวว่า นางบาบาร่า นอร์เต้ เจ้าหน้าที่จากกงสุลออสเตรียประจำจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วยสามี ลูก และญาติผู้เสียชีวิตไปดูศพนักท่องเที่ยวหญิงที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต และยืนยันว่าเป็นทันตแพทย์หญิงเจทซิงเกอร์ กาเบรียล (JETZINGER GABRIELLE) ชาวออสเตรีย อายุ 52 ปี ผู้เสียชีวิต ที่พบศพเป็นรายแรกตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 มีนาคมนี้
นทท.ยังแห่เที่ยวเกาะเพียบหลังเกิดอุบัติเหตุเรือจม นายโอฬาร เฮงเจริญ หัวหน้าสำนักงานการขนส่งทางน้ำภูมิภาคที่ 5 สาขาภูเก็ต กล่าวถึงการเพิ่มความเข้มในการดูแลความปลอดภัยจากการโดยสารเรือ ว่า ปกติทางเจ้าหน้าที่จะดูแลเข้มก่อนที่เรือบรรทุกนักท่องเที่ยวจะออกจากท่าเทียบเรือ ทั้งคนขับเรือ อุปกรณ์ช่วยชีวิตและน้ำหนักการบรรทุก ซึ่งหากพบว่าเรือลำใดไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดไว้ก็จะห้ามไม่ให้เรือออกจากฝั่ง รวมทั้งการตรวจสอบสภาพอากาศ หากสภาพอากาศไม่ดีก็จะมีการประกาศเตือน แต่หากอากาศไม่ดีเลยก็จะห้ามไม่ให้เรือออกจากฝั่งอย่างเด็ดขาด แต่ในส่วนของเรือลำที่เกิดเหตุนั้น เนื่องจากเป็นเรือที่ออกมาจากเกาะสิมิลัน จ.พังงา นายโอฬาร กล่าวอีกว่า จากการสอบถามกัปตันเรือทราบว่า ขณะเรือออกมานั้นอากาศยังเป็นปกติ แต่เมื่อออกมาแล้วจึงเจอเข้ากับพายุลมแรงทำให้เรือล่มซึ่งถือเป็นเหตุสุดวิสัยที่ไม่สามารถป้องกันได้ แต่หลังจากเกิดเหตุในครั้งนี้ทางสำนักงานขนส่งทางน้ำและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสนธิกำลังกันในการประชาสัมพันธ์ให้เข้มข้นมากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้มีเหตุการณ์ซ้ำรอยเกิดขึ้นอีก
สำหรับบรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวทางทะเลของนักท่องเที่ยวนั้น นายโอฬาร กล่าวว่า ยังคงมีนักท่องเที่ยวเดินทางท่องเที่ยวทางทะเลอย่างคึกคัก โดยในระยะนี้มีเรือท่องเที่ยวออกจากท่าเทียบเรือรัษฎาวันละ เกือบ 10 ลำ มีจำนวนนักท่องเที่ยวเฉลี่ยวันละประมาณ 1,000 คน ซึ่งในช่วงวันสำคัญหรือช่วงเทศกาลจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปยังเกาะแก่งต่างๆ ผ่านท่าเทียบเรือรัษฎาไม่ต่ำกว่า 2,000 คน ส่วนใหญ่จะเดินทางไปท่องเที่ยวที่เกาะพีพี จ.กระบี่ ส่วนที่ท่าเทียบเรืออ่าวฉลอง ก็เช่นเดียวกันจะมีเรือซึ่งมีทั้งเรือไดว์วิ่งหรือเรือนำนักท่องเที่ยวไปดำน้ำ เรือตกปลา และสปีดโบ๊ทออกจากท่าฯ วันละประมาณ 30 ลำ ส่วนใหญ่ไปเที่ยวตามเกาะต่างๆ เช่น สิมิลัน เกาะราชา เกาะเฮ เป็นต้น
ที่มา: คม ชัด ลึก (12 มี.ค.2552)
Read more >>

พบแล้วศพเหยื่อเรือล่มอันดามันรายสุดท้าย

ภูเก็ต 14 มี.ค. - พบศพเหยื่อรายสุดท้ายจากเหตุเรือท่องเที่ยวล่มกลางทะเลอันดามันแล้ว หลังค้นหากันมานาน 6 วัน
เมื่อเวลาประมาณ 20.10 น.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่เรือตรวจการณ์ ต.814 หรือ เรือคุณพุ่ม ได้นำศพของนายศรทัศน์ จำปา กุ๊กชาวไทย ซึ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเรือท่องเที่ยวอับปางกลางทะเลอันดามัน มาขึ้นฝั่งที่บริเวณท่าเทียบเรือน้ำลึกภูเก็ต หลังพบศพลอยห่างจากจุดเรืออับปางประมาณ 60 กิโลเมตร โดยมีนายปรีชา เรืองจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และ พล.ร.ท.ณรงค์ เทศวิศาล ผู้บัญชาการกองทัพเรือภาคที่ 3 มารอรับศพ ซึ่งนับเป็นศพสุดท้ายจากจำนวนผู้สูญหาย 7 คน ในเหตุการณ์ดังกล่าว
ทั้งนี้ นายปรีชาได้รับคำสั่งโยกย้ายให้ไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก จึงถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ส่งท้ายตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต. -สำนักข่าวไทย

Read more >>

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2552

พบอีก4เหยื่อ ติดคาซากเรือ ความลึก 70 เมตร

จากเหตุการณ์เรือไดว์วิ่ง หรือเรือพานักท่องเที่ยวดำน้ำดูปะการัง “เรือโชคสมบูรณ์ 19” ของบริษัท ไดว์เอเซีย จำกัด ถูกคลื่นยักษ์ซัดล่มจมสู้ก้นทะเลอันดามัน ห่างจากแหลมพรหมเทพ ต.ราไวย์ อ.เมืองภูเก็ต ราว 12 ไมล์ทะเล เมื่อคืนวันที่ 9 มี.ค.2552 ที่ผ่านมา ขณะพานักท่องเที่ยวต่างชาติและลูกเรือกลับจากดำน้ำดูปะการังที่เกาะสิมิลัน จ.พังงา มุ่งหน้าไปท่าเทียบเรืออ่าวฉลอง อ.เมืองภูเก็ต มีผู้รอดชีวิต 23 ราย สูญหายไม่ทราบชะตากรรม 7 ราย ซึ่งตำรวจน้ำร่วมกับทหารจากกองทัพเรือภาค 3 ระดมกำลังออกค้นหาอย่างเร่งด่วน กระทั่งตอนสายวันที่ 10 มี.ค. ที่ผ่านมา พบศพสาวชาวต่างชาติ ลอยอืดกลางทะเลห่างจุดเรือล่มราว 3 ไมล์ทะเล คาดว่าเป็นนางเจ็ตซิงเกอร์ กาเบรียล ชาวออสเตรียนั้น
ความคืบหน้าการค้นหานักท่องเที่ยวต่างชาติ 5 คน และกุ๊กชาวไทยอีก 1 คน ที่สูญหายจากเหตุเรือล่ม เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 11 มี.ค. พ.ต.ท.ประเสริฐ ศรีนพรัตน์ รอง ผกก. 8 บก.รน. สั่งการให้ พ.ต.ท.ปัญญา ชัยชนะ ผบ. เรือ ต.814 (คุณพุ่ม) นำเรือพร้อมหน่วยกู้ภัยมูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ตไปยังจุดเกิดเหตุ และประสานไดมาสเตอร์ หรือนักดำน้ำระดับสูงของบริษัท ไดว์เอเซีย จำกัด เจ้าของเรือโชคสมบูรณ์ 19 เพื่อลงค้นหาผู้สูญหายที่เหลืออีก 6 คน ซึ่งคาดว่าติดอยู่กับซากเรือ หลังได้พิกัดหรือจุดเรือจมที่แน่นอนจากเครื่องโซน่าร์ประจำเรือหลวงพฤหัส กองทัพเรือ ตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ 10 มี.ค. ที่ผ่านมา ระบุว่า ขณะนี้เรือโชคสมบูรณ์ 19 จมอยู่ที่พิกัดละติจูด 7 องศา 53.372 ลิปดาเหนือ ลองจิจูด 98 องศา 10.492 ลิปดาตะวันออก ในความลึก 70 เมตร
จากนั้นนักประดาน้ำของบริษัทเป็นชาวต่างชาติจำนวน 6 คน แบ่งเป็น 2 ทีม ทีมละ 3 คน ได้เริ่มลงค้นหาเมื่อเวลา 14.00 น. โดยการดำค้นหาแต่ละครั้งสามารถอยู่ในความลึก 70 เมตร ทำได้เพียงไม่เกิน 20 นาที แต่จะมีการปรับตัวในทะเลลึกทุกๆ 10 เมตร โดยรวมแล้วจะอยู่ในทะเลได้ไม่เกิน 1 ชม. ซึ่งถังดำน้ำจะมีการบรรจุออกซิเจน ไนโตรเจนและก๊าซฮีเลียม ซึ่งจะใช้กรณีดำน้ำลึกเกินกว่า 30 เมตร ปรากฏว่าการค้นหาเป็นไปด้วยความยากลำบาก ใต้น้ำลึกมีกระแสน้ำแรง กระทั่งเวลา 15.30 น. พบศพติดอยู่ในซากเรือ 4 ศพ ส่วนอีก 2 ศพ ยังหาไม่พบ คาดว่าอาจถูกกระแสน้ำพัดหลุดไปจากซากเรือ หรืออาจติดอยู่ตามห้องพักในซากเรือ แต่นักประดาน้ำยังไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้
พ.ต.ท.ประเสริฐ ศรีคุณรัตน์ รอง ผกก.8 บก.รน. กล่าวว่า ขณะนี้นักประดาน้ำของบริษัท ไดว์เอเซีย จำกัดเจ้าของเรือโชคสมบูรณ์ 19 สามารถค้นหาศพผู้เสียชีวิตที่ติดอยู่ตามซากเรือทั้ง 2 จุดแล้วจำนวน 4 ศพ ส่วนอีก 2 ศพ คาดว่าอาจถูกกระแสน้ำพัดพาหลุดออกไปจากซากเรือ หรือไม่อาจติดอยู่ตามโครงเรือ แต่นักประดาน้ำยังค้นหาไม่พบ เนื่องจากนักประดาน้ำมีเวลาค้นหาหรือทำงานค่อนข้างน้อยมาก เพราะน้ำมีความลึกถึง 70 เมตร จึงใช้เวลาในการทำงานได้เพียงไม่เกิน 20 นาทีต่อการดำแต่ละครั้ง ส่วนสาเหตุที่ยังไม่มีการกู้ศพขึ้นมานั้น เนื่องจากนักประดาน้ำเริ่มอ่อนเพลีย จึงจำเป็นต้องยกเลิกการค้นหา โดยได้มีการวางแผนในการกู้ศพทั้ง 4 ศพ ขึ้นฝั่งในช่วงสายวันที่ 12 มี.ค.นี้ อย่างแน่นอน ถือว่านักประดาน้ำประสบความสำเร็จในการค้นหาผู้เสียชีวิตในระดับหนึ่งแล้ว ได้รายงานให้ ผบก.รน. และ ผวจ.ภูเก็ตทราบแล้ว เพื่อจะมีการประสานงานไปยังสถานทูตต่างๆทราบ
ส่วนนายโอฬาร เฮงเจริญ ขนส่งทางน้ำภูมิภาคที่ 5 สาขาภูเก็ต กล่าวถึงกรณีนักท่องเที่ยวและลูกเรือโชคสมบูรณ์ 19 ไม่สวมเสื้อชูชีพว่า เนื่องจากเรือลำดังกล่าวเป็นเรือขนาดใหญ่และเพิ่งจดทะเบียนเมื่อประมาณเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งจากการตรวจสอบอุปกรณ์ช่วยชีวิตบนเรือมีถูกต้องและครบตามที่ได้กำหนด ทั้งเสื้อชูชีพ แพช่วยชีวิตมีเกินกว่าจำนวนน้ำหนักผู้โดยสารที่เขียนไว้ข้างเรือ จากการตรวจสอบจำนวนผู้โดยสารในเรือลำดังกล่าวไม่เกินน้ำหนัก หรือจำนวนที่ระบุไว้อย่างแน่นอน ส่วนสาเหตุของอุบัติเหตุในครั้งนี้เกิดจากถูกคลื่นขนาดใหญ่ซัดเข้าใส่ ตัวเรือในช่วงที่มีพายุฝนค่อนข้างแรง ประกอบกับเป็นช่วงกลางคืน ดังนั้น นักท่องเที่ยวและผู้โดยสารทั้งหมดอยู่ระหว่างการพักผ่อนนอนหลับ ทำให้ไม่มีการสวมใส่ เสื้อชูชีพ และเป็นเวลากะทันหันเกิดอย่างรวดเร็ว เป็นไปได้ ว่ากัปตันเรือแจ้งเตือนให้ผู้โดยสารสวมเสื้อชูชีพแล้ว แต่ไม่ทัน ส่วนผู้ที่รอดชีวิตมาได้นั้น เนื่องจากหลังจากเรือจมแล้วสามารถที่จะว่ายน้ำมาขึ้นแพช่วยชีวิตที่ดีดตัวออกจากที่เก็บไว้ทางด้านข้างโดยอัตโนมัติ เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น ทำให้มีผู้รอดชีวิตเป็นจำนวนมาก ดังนั้น จึงไม่ติดใจในเรื่องของการไม่สวมเสื้อชูชีพด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น
ตอนสายวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ประจำกงสุลกิตติมศักดิ์ออสเตรียประจำ จ.ภูเก็ต ได้นำสามีและลูกสาวของนางเจ็ตซิงเกอร์ กาเบรียล อายุ 52 ปี ชาวออสเตรีย 1 ใน 7 นักท่องเที่ยวที่สูญหายไปจากเหตุเรือล่ม ไปดูศพนักท่องเที่ยวสาวชาวต่างชาติที่พบกลางทะเลที่ห้องเก็บศพ รพ.วชิระภูเก็ต ซึ่งสามีและลูกสาวยืนยันว่าเป็นศพของนางเจ็ตซิงเกอร์ และจำแหวนแต่งงานกับนาฬิกาที่ผู้ตายสวมใส่ได้ จากนั้นได้เข้าพบ ร.ต.ท.ภัทรพล ปัทมวงศ์ รอง สว.สส.สภ.เมืองภูเก็ต เพื่อขอให้พนักงานสอบสวนรับรองการออกใบมรณะบัตรและรับศพไปบำเพ็ญกุศลทางศาสนา นอกจากนี้ ในช่วงเย็นวันเดียวกันเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยจะนำบิดาของนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น 1 ใน 7 ที่สูญหายเดินทางมาที่ จ.ภูเก็ต เพื่อติดตามความคืบหน้าในการค้นหาร่างบุตรชาย
ด้าน น.ส.นงนิตย์ เต็งมณีวรรณ ผช.ผอ.ททท.ภูเก็ต กล่าวว่า ในส่วนการให้ความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ประสบอุบัติเหตุเรือล่มครั้งนี้ ทาง ททท.ภูเก็ต ได้ดำเนินการประสานไปตามกงสุล และสถานทูตประจำประเทศที่นักท่องเที่ยวถือสัญชาติอยู่ เช่น ญี่ปุ่น ออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งปรากฏว่าผู้เสียชีวิตรายแรกเป็นทันตแพทย์หญิง โดยสามีเป็นทันตแพทย์อยู่ที่ประเทศออสเตรียเช่นเดียวกัน โดยสามีและลูกสาวมีความประสงค์จะจัดพิธีศพที่ จ.ภูเก็ตตามประเพณีไทย เพื่อนำอัฐิกลับมาตุภูมิ ขณะนี้อยู่ระหว่างการติดต่อวัดที่จะใช้เป็นสถานที่ฌาปนกิจ โดยทาง ททท. ภูเก็ตจะร่วมเป็นเจ้าภาพในการจัดพิธี เพื่อเป็นการแสดงความอาลัยต่อการสูญเสีย ส่วนผู้เสียชีวิตที่เป็นชาวญี่ปุ่น ทาง ททท.ภูเก็ต ได้รับการประสานงานจากญาติจะมีการนำตัวอย่างดีเอ็นเอของบิดามารอเปรียบเทียบกับผู้เสียชีวิตเมื่อพบศพ



ที่มา: นสพ.ไทยรัฐ ปีที่ 60 ฉบับที่ 18678 วันพฤหัสบดี ที่ 12 มีนาคม 2552
http://www.thairath.co.th/offline.php?section=hotnews&content=127411
Read more >>

วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2552

คลื่นซัดเรือนักท่องเที่ยวล่มกลางอ่าวมาหยาดับ 1

เรือนำนักท่องเที่ยวดำน้ำดูปะการัง ประสบอุบัติเหตุถูกคลื่นซัดจนล่มกลางอ่าวมาหยา นักท่องเที่ยวชาวอิสราเอล จมน้ำตาย 1 สูญหาย 4 คน สาหัส 1 สาเหตุมาจากบรรทุกผู้โดยสารถึง 65 คนในขณะที่รับน้ำหนักได้แค่ 20 คนเท่านั้น
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 4 ก.ย. เกิดเหตุเรือ คิงฟิสเชอร์ นำนักท่องเที่ยวดำน้ำดูปะการัง ประสบอุบัติเหตุถูกคลื่นซัดจนล่มกลางอ่าวมาหยา ส่งผลให้นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ จำนวน 59 คนและลูกเรือคนไทยจำนวน 6 คน ตกน้ำ นักท่องเที่ยวชายชาวอิสราเอล จมหายเสียชีวต 1 ศพ สูญหาย 4 คน นอกจากนี้ยังมีนักท่องเที่ยวต่างชาติได้รับบาดเจ็บเล้กน้อย 1 คน และสาหัสอีก 1 คน ล่าสุดถูกช่วยเหลือนำตัวส่งรักษาที่ รพ.ภูเก็ต ส่วนนักท่องเที่ยวที่เหลือได้รับการช่วยเหลือกลับขึ้นฝั่งได้อย่างปลอดภัยแล้ว
สำหรับเรื่องคิงฟิสเชอร์ นั้นได้นำกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ซื้อแพจเกตทัวร์เพื่อมาดำน้ำดูปะการังออกจาก เกาะพีพีตั้งแต่ช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ ปรากฏว่าระหว่างที่กำลังวิ่งเรือกลับขึ้นเกาะพีพีได้เกิดมีคลื่นลมแรงและพัดจนเรือล่มกลางทะเลส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิตดังกล่าว อย่างไรก็ตามล่าสุดทางตำรวจน้ำ ทีมหน่อยกูภัยจาก อบจ.กระบี่ และทีมนักดำน้ำที่เกาะพีพี ได้ช่วยกำลังระดมกำลังค้นหาผู้ที่สูญหาย อย่างต่อเนื่อง แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่พบตัวแต่อย่างใด
นายเถลิงศักดิ์ ภูวญาณพงศ์ หน.สำนักงานป้องกันบรรเทาสาธารณภัย จ.กระบี่ เปิดเผยว่า จังหวัดได้ออกคำเตือนไปยังท่าเรือต่างๆ มาตลอดเกี่ยวกับเรื่องคลื่นลมแรงในทะเลตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศเตือน ซึ่งในเรื่องของการบรรทุกผู้โดยสารนั้นเป็นเรื่องของกรมการขนส่งทางน้ำ ที่จะต้องดูแล ทั้งนี้ทราบว่า ทางท่าเรือได้มีการเตือนตลอด สำหรับเรือคิงฟิสเชอร์นั้นทราบว่ามาจากเกาะยาว จ.พังงา ที่เดินทางมาเสริมการท่องเที่ยวที่เกาะพีพีเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เรือลำดังกล่าวนั้นมีประกันอุบัติเหตุอยู่แล้ว ซึ่งทางเจ้าของเรือจะต้องรับผิดชอบความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้กับนักท่องเที่ยว
ด้านเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัย อบจ.กระบี่ ที่เข้าร่วมค้นหาผู้สูญหาย รายหนึ่ง เปิดเผยว่า สำหรับเรือคิงฟิสเชอร์ลำดังกล่าวนั้น ทราบว่าเป็นเรือขนาด 20 ที่นั่ง ปรากฏว่า ได้บรรทุกนักท่องเที่ยวเกินหลายเท่าตัว คือรวมจำนวนนักท่องเที่ยวและลูกเรือชาวไทยทั้งหมด 65 คน จึงเชื่อว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดเรือล่ม ทั้งนี้ทราบว่าก่อนออกเดินเรือได้มีการกล่าวเตือนจากคนวิ่งเรือด้วยกันไปแล้ว แต่ทางคนขับรถคิงฟิสเชอร์บอกว่า จะพานักท่องเที่ยวไปดำน้ำไม่ไกลจากเกาะพีพีมากนัก ซึ่งถือว่า เป็นการกระทำที่ประมาท ในส่วนของอบจ.กระบี่ จะมีการรายงานเรื่องดังกล่าวให้ผู้รับผิดชอบได้ดำเนินการโดยตรง
สำหรับการค้นหาผู้สูญหายจำนวน 4 คนนั้น ขณะนี้พบตัวแล้วโดยเป็นลูกเรือคนไทยและอยู่ในอาการปลอดภัยดีทุกคน
ในขณะที่รายงานข่าวอยู่นี้ได้มีนักท่องเที่ยวกว่า 200 คน ได้ทยอยขึ้นเรือโดยสารจากท่าเรือคลองจิหลาด ฝั่ง จ.กระบี่ เพื่อมุ่งหน้าไปยังเกาะพีพี อย่างหนาแน่ โดยนักท่องเที่ยวไม่ได้แสดงอาการตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้ว่าจะมีเมฆฝนและคลื่นลมแรง ซึ่งทางเจ้าของเรือนั้นได้แสดงความมั่นใจว่า เรือสามารถรับน้ำหนักและคลื่นรับได้ไม่ต่ำกว่า 200-300 คน อีกทั้งในเรือยังมีชูชีพให้กับผู้โดยสารทุกคนอีกด้วย จึงไม่ห่วงว่าจะเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้นอีกแน่นอน
สำหรับผู้เสียชีวิตนั้นทราบชื่อคือ นายนิสชิน บลูตาชิน เป็นชาวอิสรเอล อายุ 33 ปี ล่าสุดถูกนำส่งไปที่ รพ.กระบี่ เพื่อดำเนินการตรวจพิสูจน์หลักฐานทางนิติเวช
ข้อมูลจาก คม ชัด ลึก
Read more >>

ยุติค้นหาผู้สูญหายเรือล่ม7คนชั่วคราวเหตุมืด-ฝนตก




คมชัดลึก :เรือนำเที่ยวพาผู้โดยสารกลับจากดำน้ำที่เกาะสิมิลัน พังงา มุ่งหน้าไปยังภูเก็ต โดนคลื่นลมซัดจนอับปางกลางทะเลอันดามัน เรือประมงช่วยไว้ได้ 23 คน ยังสูญหาย 7 คน ตำรวจน้ำภูเก็ตส่งเรือคุณพุ่ม ต.814 ออกปฏิบัติการค้นหาและช่วยเหลือทันที "กัปตันเรือ" ยัน เรือยังใหม่ แต่คลื่นลมแรง และมีฝนตกหนักทำให้เรือล่ม

พายุกลางทะเลอันดามันซัดกระหน่ำเรือนำเที่ยวจนอับปางกลางทะเลอันดามัน มีผู้รอดชีวิต 23 คน สูญหาย 7 คน เปิดเผยขึ้น พ.ต.ท.ประเสริฐ ศรีคุณรัตน์ รอง ผกก.กก.8 บก.รน. ได้รับแจ้งจากพนักงานของบริษัท เอเชีย ไดวิ่ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทพานักท่องเที่ยวไปดำน้ำตามเกาะแก่งต่างๆ เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 9 มีนาคม ว่า เรือโชคสมบูรณ์ 19 ซึ่งนำนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นและยุโรป รวมทั้งลูกเรือ รวม 30 คน เดินทางออกจากเกาะสิมิลัน จ.พังงา เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 8 มีนาคม ที่ผ่านมา โดยมีกำหนดเข้าสู่ท่าเทียบเรือที่หาดป่าตอง อ.กะทู้ จ.
ภูเก็ต ในเวลาประมาณ 04.00 น. วันที่ 9 มีนาคม แต่เมื่อถึงเวลาดังกล่าว เรือไม่ได้เข้าเทียบท่า และไม่สามารถติดต่อพนักงานประจำบนเรือได้ คาดว่าเรือประสบอุบัติเหตุล่มกลางทะเลอันดามัน คาดว่าห่างจากแหลมพรหมเทพไปทางทิศตะวันตกประมาณ 12 ไมล์ทะเล ขอให้ส่งเจ้าหน้าที่ออกไปช่วยค้นหาด้วย
หลังจากได้รับแจ้ง จึงประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อออกค้นหาและให้การช่วยเหลือ พ.ต.ท.วัลลภ พวงผกา สารวัตรตำรวจน้ำ
ภูเก็ต กล่าวว่า หลังจากได้รับแจ้งขอความช่วยเหลือ จึงส่งเรือคุณพุ่ม ต.814 ออกค้นหาเรือโชคสมบูรณ์ 19 เพื่อช่วยเหลือนักท่องเที่ยวและลูกเรือทันที เบื้องต้นทราบว่าขณะที่เรือโชคสมบูรณ์ 19 เดินทางกลับมายัง จ.ภูเก็ต มีฝนตกลงมาอย่างหนัก ประกอบกับคลื่นลมแรง คลื่นซัดเข้าเรือทำให้เรือล่มในบริเวณรอยต่อระหว่างเกาะสิมิลัน จ.พังงา กับ จ.ภูเก็ต ขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่ทราบพิกัดที่แน่นอน อย่างไรก็ตาม ทราบว่ามีเรือประมงที่อยู่บริเวณใกล้เคียงเข้าช่วยเหลือไว้ได้ 23 คน ส่วนที่เหลืออีก 7 คน ยังอยู่ระหว่างติดตามค้นหา
"หลังจากได้รับแจ้งก็สั่งการให้เรือคุณพุ่ม ต.814 ออกปฏิบัติการทันที ต่อมาได้รับแจ้งว่ามีผู้โดยสารบนเรือที่ประสบเหตุได้รับการช่วยเหลือแล้ว 23 คน ยังมีผู้สูญหาย 7 คน ซึ่งเจ้าหน้าที่พยายามค้นหาอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ได้ประสานงานกับกองเรือภาคที่ 3 กองเรือยุทธการ เข้าช่วยค้นหาอีกทางหนึ่งด้วย"
สารวัตรตำรวจน้ำ
ภูเก็ต กล่าว ต่อมาเวลา 15.55 น. วันเดียวกัน เรือคุณพุ่ม ต.814 นำนักท่องเที่ยว 23 คน ซึ่งเป็นชาวไทย 8 คน ชาวต่างชาติ 15 คน มาขึ้นฝั่งที่ท่าเทียบเรือน้ำลึก ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต ทุกคนอยู่ในสภาพอิดโรย และมีอาการเศร้าโศก เมื่อพบเพื่อนบนฝั่งต่างโผเข้ากอดกันพร้อมกับร้องไห้ ผู้ที่สูญหาย 7 คน ได้แก่ ชาวไทย 1 คน ซึ่งเป็นพ่อครัว ชาวออสเตรเลีย 2 คน ชาวสวิตเซอร์แลนด์ 2 คน ชาวญี่ปุ่น 1 คน และชาวเยอรมัน 1 คน
นายชาตรี หลีช่วย กัปตันเรือ อายุ 54 ปี ซึ่งทำหน้าที่กัปตันเรือมานานถึง 20 ปี เล่าว่า ได้นำเรือออกจากเกาะสิมิลันเมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. วันที่ 8 มีนาคม จนกระทั่งเวลา 23.00 น. ขณะเรืออยู่กลางทะเลเกิดมีคลื่นลมแรง ฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำให้เรือตะแคงและพลิกคว่ำ
"ลมแรงมาก ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก เรือก็เอียงจนบังคับไม่ได้ ก็ตะโกนบอกให้ทุกคนทราบกัน พร้อมกับปล่อยเรือชูชีพซึ่งเป็นเรือยาง 2 ลำ ให้นักท่องเที่ยว ก็พยายามช่วยให้เขาอยู่บนเรือชูชีพกันให้มากที่สุดเท่าที่จะช่วยได้ ก็ไม่รู้ว่าใครสูญหายไปบ้าง ผมขอยืนยันว่าเรือลำนี้เป็นเรือใหม่ เพิ่งต่อมาได้ไม่นาน ที่เป็นปัญหาคือคลื่นลมแรงและฝนตกหนัก" กัปตันเรือ กล่าว
นายนรินทร์ โวหาร ซึ่งเป็นลูกเรือ เล่าว่า ขณะที่เกิดเหตุอยู่บนชั้น 2 ของเรือ มีลมแรงมากและฝนตกหนักด้วย ทำให้เรือตะแคง ก็มีการตะโกนเรียกกันและพยายามจับมือกันเพื่อออกมาจากตัวเรือ โดยเกาะกับขอบเรือยาง จากนั้นก็ช่วยกันขึ้นไปอยู่บนเรือยาง ด้วยความมืดจึงทำให้ไม่ทราบว่ามีใครหายไปบ้าง ค่อนข้างตกใจมาก เพราะจากที่ได้ทำงานมาประมาณ 2 ปี ไม่เคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้มาก่อน โชคดีที่รอดกลับมาได้ แต่ก็เป็นห่วงคนที่หายไป
พ.ต.อ.อนันต์ ห่วงสายทอง ผกก.3 กก.8 บก.รน. กล่าวว่า เบื้องต้นต้องสอบปากคำในส่วนของกัปตันเรือและผู้รอดชีวิต เพื่อหาจุดที่เกิดเหตุที่ชัดเจน ในขณะเดียวกันก็ประสานความร่วมมือกันกับกองเรือภาคที่ 3 กองเรือยุทธการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ออกค้นหาในส่วนของผู้ที่สูญหาย และได้ประสานขอเฮลิคอปเตอร์จากหมวดบินเฉพาะกิจกองเรือภาคที่ 3 และหมวดบินตำรวจ
ภูเก็ตขึ้นบินสำรวจและชี้จุดเพื่อให้เรือตำรวจน้ำเข้าช่วยเหลือและค้นหาผู้สูญหาย ส่วนผู้ที่รอดมาได้นั้นก็คงเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่รับผิดชอบเข้าไปช่วยเหลือต่อไป

ยุติค้นหาผู้สูญหายเรืออัปปาง7คนชั่วคราวเหตุมืด-ฝนตก
เมื่อเวลาประมาณ 19.00 น. พ.ต.ท.ประเสริฐ ศรีคุณรัตน์ รองผกก. 3 กก. 8 บก.รน เปิดเผยถึงความคืบหน้าของการค้นหาว่า ยังไม่พบผู้สูญหายแต่อย่าง และได้สั่งการให้หยุดการค้นหาชั่วคราว เนื่องจากเริ่มมืด และมีฝนตก ซึ่งทำให้การค้นหาลำบาก โดยขณะนี้ได้ทราบพิกัดที่เรืออับปางแล้ว อยู่ที่ละติจูด 7 องศา 45.3 ลิปดาเหนือ ลองจิจูด 98 องศา 05 ลิปดาตะวันออก ห่างจากอ่าวป่าตองค่อนไปทางเกาะแก้วพิสดาร แหลมพรหมเทพ ต.ราไวย์ อ.เมือง
ภูเก็ต ประมาณ 20 กิโลเมตร ซึ่งจะได้มีการส่งเรือออกไปทำการค้นหาอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ รวมทั้งทราบว่าในส่วนของทัพเรือภาค 3 ก็จะส่งเฮลิคอปเตอร์ร่วมทำการค้นหาอีกทางหนึ่งด้วย

ข้อมูล : คม ชัด ลึก (9 มี.ค.2552) http://www.komchadluek.net/detail/20090309/4513

Read more >>

วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2552

Rip Current

มีพื่อนๆ ส่งอีเมล์มาให้ เห็นว่ามีประโยชน์ จึงขออนุญาตคัดลอกข้อความทั้งหมดว่าไว้ที่ Blog นี้เลย เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน



ตอนเช้ามาได้ดูข่าวทีวีก็รู้สึกสลดใจ เพราะมีคนตายอีกแล้ว เพราะความไม่รู้จัก Rip Current โดยปกติแล้วทางเจ้าหน้าทีจะปักธงแดงให้เล่นน้ำในเขตอยู่แล้ว แต่อาจจะมีบางคนไม่เข้าใจ
นศ.สังเวยหาดแม่รำพึง ถูกคลื่นม้วนพัดจมทะเล [8 ก.พ. 52 - 05:13]
ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (8 ก.พ.) ว่า เกิดเหตุนักศึกษาถูกคลื่นใต้น้ำพัดจมทะเลหาดแม่รำพึง จ.ระยอง เสียชีวิต โดยเจ้าหน้าที่กู้ภัยช่วยกันค้นหาศพจนพบ ซึ่งถูกคลื่นพัดลอยอยู่ในทะเล ห่างจากชายฝั่งกว่า 500 เมตร ทราบชื่อ คือ นายธนาวิทย์ กิตติราษฎร์ นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมด้วยแพทย์โรงพยาบาลระยอง เดินทางมาตรวจสภาพศพ นายธนาวิทย์ บริเวณชายทะเลหาดหาดแม่รำพึง
ทั้งนี้ จากการสอบสวนทราบว่า ผู้ตาย และเพื่อนรวม 7 คน เป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้นัดกันมาท่องเที่ยว พักผ่อนที่ชายหาดแม่รำพึงในช่วงวันหยุด จากนั้นผู้ตาย และเพื่อน 4 คน ได้ชักชวนกันลงไปเล่นน้ำทะเลบริเวณ หาดหินขาวหินดำ ก่อนถูกคลื่นใต้น้ำพัดจมหายไป โดยไม่มีใครสามารถเข้าไปช่วยเหลือได้ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ชายหาดแม่รำพึง จ.ระยอง นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง และทุกปีจะมีเหตุนักท่องเที่ยวถูกคลื่นทะเลพัดจมน้ำเสียชีวิตอยู่เป็นประจำ ถึงปีละเกือบ 10 ราย


Rip Current คืออะไร




ดูแบบน้ำตื้น จะได้เข้าใจง่ายครับ


แบบของจริง


วีธีการเอาตัวรอด ห้ามว่ายเข้าฝั่ง ต้องว่ายตามกระแสน้ำ
หรือว่ายออกด้านข้างไปก่อน แล้วคลื่นจะพัดเรากลับเข้าฝั่งได้อีกด้วย



ช่วยกัน forword mail เพราะ email ของท่านอาจจะช่วยชีวิตคน ๆ หนึ่งไว้ก็ได้ครับ มันยิ่งใหญ่กว่าการทำบุญใด ๆอย่าให้"แม่"ของใครต้อง"รำพึง"ร้องหาลูกของเขาอีกเลย ขอบคุณครับ"หาดแม่รำพึง"? !!

Read more >>

ปลาตัวใหญ่และแปลกๆ

มีเพื่อนๆ forwardmail มาให้ ปลาอะไรตัวใหญ่และแปลกๆ ไม่ค่อยเคยเห็น ใครมีความรู้บอกด้วยนะ (แสดงความคิดเห็นไว้ท้าย Blog นี้ครับ)












Read more >>