วันศุกร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2553

ทำบุญปล่อยปลาการ์ตูน

Ray Divers จัดโครงการ "ทำบุญปล่อยปลาการ์ตูนประจำปี 2553" เงินรายได้ช่วยเหลือเด็กยากไร้ วันเสาร์ที่ 22 และอาทิตย์ที่ 23 พ.ค.2553 (ใครว่างวันไหนร่วมโครงการได้เลยครับ หรือจะร่วมทั้งสองวันเลยก็ได้)

กำหนดการ
09.00 น. ลงเรือท่าเรือฟิชชิ่งบริดจ์ แสมสาร
10.00 น. Dive 1 ปล่อยปลาการ์ตูน บริเวณหินหลักเบ็ด หรือโรงโขน
12.00 น. รับประทานอาหารกลางวัน
14.00 น. Dive 2 Fun dive
16.00 น. เดินทางกลับเข้าฝั่ง
ค่าใช้จ่าย : ท่านละ 900 บาทต่อวัน ราคานี้รวม TANK 2 ใบ, ปลาการ์ตูนคนละ 2 ตัว, หมวกโครงการ 1 ใบ อาหารกลางวัน และเครื่องดื่มบนเรือ (อุปกรณ์ดำน้ำและเข็มขัดตะกั่วหามาเอง)
จองเข้าร่วมโครงการได้ที่ ครูสมยศ น้อมจุ้ย โทร.08-1489-6704 , โทรสาร. 0-3860-7481, อีเมล์ : raydive@hotmail.com

Read more >>

วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2553

"ไซเชเดลิกา" ปลาหน้าตาเหมือนกบ

ภาพประกอบจากเอพี
"ไซเชเดลิกา" ปลาหน้าตาเหมือนกบ สปีชีส์ใหม่ในทะเลอินโด
ปลาหน้าตาประหลาด สีเหลือง หน้าแบน มีอวัยวะคล้ายขา ลวดลายเหมือนม้าลาย และชอบกระโดดอยู่บนพื้นทะเลน้ำตื้น ในเกาะอัมบอนของอินโดนีเซีย เป็นตระกูลปลากบที่ได้รับการจำแนกสปีชีส์ใหม่จากนักวิจัยวอชิงตัน เป็น "ไซเชเดลิกา" หลังครูสอนดำน้ำไปพบเมื่อปีก่อน
เท็ด เพียตส์ช (Ted Pietsch) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน (University of Washington) สหรัฐฯ ได้จำแนกสปีชีส์ ให้กับปลาที่พบบริเวณน้ำตื้นของเกาะอัมบอน ทางตะวันออกของอินโดนีเซีย ที่พบโดยครูสอนดำน้ำของบริษัททัวร์เมื่อปีที่แล้ว และทางบริษัททัวร์ได้ติดต่อมายังศาสตราจารย์แห่งวอชิงตันผู้นี้
เขาได้ตั้งชื่อปลาชนิดใหม่นี้ว่า "ไซเชเดลิกา" (psychedelica) และได้ตีพิมพ์เผยแพร่ผ่านวารสารโคเปีย (Copeia) ของสมาคมนักสัตวศาสตร์ด้านปลาและสมาคมนักสัตวศาสตร์ด้านสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอเมริกัน (American Society of Ichthyologists and Herpetologists)
ปลาไซเดลิกามีหน้าตาประหลาด เด้งได้เหมือนลูกบอลยาง อยู่บริเวณพื้นมหาสมุทร จัดเป็นปลากบ (frogfish) ชนิดหนึ่ง มีลายรอบตัวเหมือนม้าลายสีน้ำตาลไหม้ และสีลูกพีช ซึ่งพาดยาวจากดวงตาสีน้ำทะเลไปปลายหาง มีขนาดประมาณกำปั้น ร่างกายปกคลุมด้วยผิวหนังย่นๆ เป็นวุ้นหนาๆ เพื่อป้องกันอันตรายจากปะการังที่แหลมคม มีใบหน้าแบนและดวงตามองตรงเหมือนคน อีกทั้งยังมีปากที่อ้าได้กว้าง
เพียตส์ชจำแนกสปีชีส์ของปลาชนิดใหม่ด้วยดีเอ็นเอ ซึ่งปลาดังกล่าวจัดอยู่ในจีนัสหรือตระกูลฮิสทิโอฟไรน์ (Histiophryne) และเช่นเดียวกับปลากบอื่นๆ ที่มีครีบทั้ง 2 ข้างของลำตัว ซึ่งวิวัฒนาการไปเป็นอวัยวะคล้ายขา
แต่ก็มีบางพฤติกรรมที่เขาเขียนไว้รายงานว่า แตกต่างไปจากปลากบอื่นๆ ที่รู้จัก แต่ละครั้งที่ปลากบสปีชีส์ใหม่นี้กระแทกพื้นทะเล มันก็จะกางครีบออกแล้วพ่นน้ำออกจากเหงือก เพื่อส่งตัวเองให้พุ่งไปข้างหน้า ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่แปลกประหลาดและดูวุ่นวาย
"ผมคิดว่าคนทั่วไปต้องนึกว่าปลากบก็เหมือนๆ กัน อย่างที่รู้จักดีแล้ว แต่ปลากบชนิดใหม่นี้ เป็นอะไรที่น่าประทับใจจริงๆ มันเป็นสัตว์ที่น่าทึ่ง และลายพรางของมัน น่าจะเป็นการลอกเลียนปะการัง อีกทั้งยังเป็นการบอกด้วยว่าความหลากหลายทางชีวภาพของพื้นที่นี้ มากมายแค่ไหน และความจริงที่ว่ายังมีอะไรที่เราไม่รู้อีกมากที่นี่ ที่อินโดนีเซียและสามเหลี่ยมปะการัง (Coral Triangle)" ความเห็นจากมาร์ก เอิร์ดมาน (Mark Erdman) ที่ปรึกษาอาวุโสจากโครงการทางทะเลขององค์กรอนุรักษ์สากล (Conservation International).



ภาพประกอบจาก BBC News

ภาพประกอบจาก Starknakedfish.com โดยนักดำน้ำชื่อ มาร์ค ชไนเดอร์ (Mark snyder)

ภาพประกอบจาก Starknakedfish.com โดยนักดำน้ำชื่อ มาร์ค ชไนเดอร์ (Mark snyder)

ภาพประกอบจาก Starknakedfish.com โดยนักดำน้ำชื่อ มาร์ค ชไนเดอร์ (Mark snyder)


ที่มาข้อมูล
-ผู้จัดการออนไลน์ (3 มี.ค.2552). Science&Technology. สืบค้นเมื่อ 15 เม.ย.2553.
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9520000023836

Read more >>

ปลาหมึกในกะลา


นักวิทยาศาสตร์ออสเตรเลียค้นพบหมึกยักษ์ในอินโดนีเซีย กำลังยึดเอากะลามะพร้าวเป็นเสมือนเกราะกำบัง เช่นกระดองของเต่า นับเป็นพฤติกรรมที่ไม่ได้เห็นตามปกติ และเชื่อว่านี่เป็นหลักฐานชิ้นแรกในการใช้เครื่องมือ ปกป้องตัวเองของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง

สำนักข่าวเอพี รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์จากพิพิธภัณฑ์เมลเบิร์น (Museum Victoria in Melbourne) ประเทศออสเตรเลีย ได้บันทึกภาพการค้นพบ "ปลาหมึกสายดำ" (Amphioctopus marginatus) ที่กำลังครอบครองกะลามะพร้าวเพื่อให้เป็นกระดองที่พื้นทะเล แล้วนำ พากะลาชิ้นนั้นลากไปไกลกว่า 20 เมตร อีกทั้งยังทำเหมือนกะลาเป็นเปลือกหอยซ่อนตัวเองลงไปในนั้น

ภาพนี้บันทึกได้เมื่อวันที่ 10 ธ.ค.52 ปลาหมึกสายดำกำลังครอบครองกะลามะพร้าว โดยพยายามดึงจากพื้นทะเล ก่อนที่จะลากไปไกลกว่า 20 เมตร นับเป็นการบันทึกภาพพฤติกรรมเช่นนี้ของปลาหมึก และถือได้ว่าเป็นหลักฐานชิ้นแรกของการใช้เครื่องมือของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง (AP Photo/Museum Victoria, Roger Steene

จูเลียน ฟินน์ (Mark Norman) และ มาร์ก นอร์แมน (Mark Norman) แห่งพิพิธภัณฑ์เมลเบิร์น ได้สังเกตเห็นพฤติกรรมที่แปลกไปของสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ ระหว่างดำน้ำเก็บภาพสำรวจที่บริเวณทางเหนือของสุลาเวสีและบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย กว่า 500 ชั่วโมง ในช่วงปี พ.ศ. 2541-2551

พฤติกรรมและภาพที่พวกเขาค้นพบนั้น ถือเป็นหลักฐานชิ้นแรกของการใช้เครื่องมือในสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง จึงได้เขียนเป็นรายงานตีพิมพ์ลงในวารสาร "เคอร์เรนต์ ไบโอโลจี" (Current Biology) ฉบับวันที่ 15 ธ.ค.2552

"ผมเห็นหมึกยักษ์จำนวนมากซ่อนตัวอยู่ในกระดอง แต่ยังไม่เคยเห็นกับตา กับตัวที่กำลังคว้ากะลาและลากออกไปไกล" ฟินน์กล่าว

ทั้งนี้ หมึกยักษ์ส่วนใหญ่ต่างใช้วัตถุแปลกปลอมมาเป็นเกราะกำบัง แต่นักวิทยาศาสตร์ได้พบหมึกสายดำในขณะที่กำลังเตรียมการค้นหาและสร้างเกราะ นับเป็นตัวอย่างของการใช้เครื่องมือ ซึ่งในหมู่สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ไม่เคยมีใครได้บันทึกภาพแบบนี้มาก่อน

อย่างไรก็ดี ฟินน์บอกว่า พฤติกรรมสะสมกะลานี้ต่างจากการซ่อนตัวของปูเสฉวน ที่ปูนั้นใช้เป็นที่อยู่อาศัย แต่ปลาหมึกนั้นเก็บกะลาไว้เผื่อ สำหรับเหตุผิดปกติในอนาคต

"การค้นพบครั้งนี้มีนัยสำคัญ ที่ได้เปิดเผยพฤติกรรมอันซับซ้อนของสิ่งมีชีวิต" ความเห็นของ รศ.ไซมอน ร็อบสัน (Simon Robson) ภาควิชาชีววิทยาเขตร้อน มหาวิทยาลัยเจมส์คุก ในทาวนส์วิว ออสเตรเลีย (James Cook University in Townsville) ต่อผลงานชิ้นนี้

"ปลาหมึกยักษ์นับได้ว่าเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ที่ชาญฉลาดอันดับต้นๆ พวกมันมีประสาทตาดี และมีการปรับสายตาให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใด้ดียิ่ง รวมทั้งสมองที่ไวใช้ได้" ร็อบสันที่ไม่ได้ร่วมในการสำรวจให้ข้อมูลเพิ่มเติม.

ที่มา :
-ผู้จัดการออนไลน์ (15 ธ.ค.2552). Science&Technology. สืบค้นเมื่อ 15 เม.ย.2553.
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9520000152977
สืบค้นเพิ่มเติม :
-
Museum Victoria in Melbourne
-James Cook University in Townsville

Read more >>

วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2553

Mega-Tsunami will come back

บทความนี้ ได้รับเมล์จากลูกศิษย์นักดำน้ำที่ Forward มาให้ อ่านแล้ว ทำให้คิดถึงครั้งที่เกิดสึนามิ เมื่อ 26 ธ.ค.2547 ที่ผ่านมา ในครั้งนั้น นักดำน้ำของเรามีบทบาทมากในการช่วยเหลือเก็บกู้ชีวิตและซากปรักหักพังใต้น้ำ จนกระทั่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เหรียญเงินดิเรกคุณาภรณ์ ให้แก่นักดำน้ำอาสาสมัครครั้งนั้นทุกคน
การกลับของสึนามิ (ที่เขาบอกว่ารุนแรงกว่าเดิม) ในครั้งนี้ ไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย แต่ก็อย่าประมาท ลองอ่านดูแล้วใช้วิจารญาณเอาเอง บทความที่ปรากฏด้านล่างต่อไปนี้ ได้คัดลอกมาโดยตรงโดยไม่ได้ดัดแปลงใดๆ หากท่านผู้อ่านต้องการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม โปรดสืบค้นได้ตามที่อยู่ที่ระบุไว้แล้วด้านล่าง

อดีตผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติกับโหรชื่อดังฉายา "นอสตราดามุสเมืองไทย" ทำนายตรงกัน กลางปีนี้ประเทศไทยเจอสึนามิถล่มหนักแน่ๆ...หลังจากเป็นที่ฮือฮากับรายงานข่าวจากต่างประเทศ เมื่อคณะผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาจากประเทศไอร์แลนด์เหนือนำโดย ศาสตราจารย์จอห์น แมคคลอสคีย์ สถาบันวิจัยนิเวศวิทยาแห่งมหาวิยาลัยอัลส์เตอร์ ไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งเป็นกลุ่มนักวิชาการที่ขึ้นชื่อว่า ทำนายเหตุการณ์สึนามิได้แม่นยำมากที่สุด ได้ส่งจดหมายเตือนภัยว่าอาจจะเกิดคลื่นยักษ์ ที่เป็นผลมาจากแผ่นดินไหวถล่มชายฝั่งเกาะสุมาตราในอนาคตอันใกล้

คำเตือนที่ว่านั้นยิ่งสร้างความสะพรึงกลัวให้กับคนไทย เมื่อมันมาตรงกับคำทำนายของนักวิชาการและโหราศาสตร์ชื่อดังก่อนหน้านี้ ที่ว่าสึนามิจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า ที่สำคัญประเทศไทยจะได้รับความเสียหายมากมายกว่าสึนามิเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2547

ผู้สื่อข่าวไทยรัฐออนไลน์สอบถามไปยัง ดร.สมิทธ ธรรมสโรช อดีตผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ผู้ที่เคยทำนายว่าประเทศไทยจะเกิดสึนามิครั้งใหญ่อีกครั้งในอนาคตอันใกล้ โดยเขาเห็นด้วยกับคำเตือนของศาสตราจารย์สถาบันวิจัยนิเวศวิทยา แห่งมหาวิยาลัยอัลส์เตอร์ไอร์แลนด์เหนือ ว่า ถ้าเกิดสึนามิครั้งนี้ ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบผู้คนจะล้มหายตายจากมากมายกว่าครั้งที่แล้วมาก
"ปีที่แล้วผมมีโอกาสเข้าไปร่วมประชุมกับนักวิจัยญี่ปุ่น ซึ่งเขาก็พูดถึงเรื่องของศาสตราจารย์จอห์น แมคคลอสคีย์ ออกมาบอกว่าอีกไม่นานจะเกิดสึนามิอีกครั้ง ในส่วนประเทศไทยจะได้รับผลกระทบมากๆ เพราะว่ารอยเลื่อนแผ่นดินที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 47 มันเลื่อนแค่เศษ 1 ส่วน 4 เท่านั้น ดังนั้นจะเหลืออีกเศษ 3 ส่วน 4 ที่ยังไม่เกิด ซึ่งแผ่นดินมันค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาทางเหนือระหว่างเกาะนิโคบาและเกาะอันดามัน โดยการเลื่อนในครั้งนี้มันจะเขยิบเข้ามาใกล้กับชายฝั่งของประเทศไทยมากขึ้นจากครั้งที่แล้ว
ดร.สมิทธกล่าวต่อว่า ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้อง 9 ริกเตอร์เหมือนกับครั้งที่แล้ว เรียกว่าขอให้เกิดสึนามิขึ้นเมื่อใด ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบมหาศาล.....

"คำนวณง่ายๆ ว่าสึนามิครั้งที่แล้วมันไกลจาก 6 จังหวัดภาคใต้ถึง 1,200 กิโลเมตร แต่รอยเลื่อนอีกเศษ 3 ส่วน 4 มันอยู่ใกล้ประเทศไทยเพียง 300-400 กิโลเมตร ดังนั้นถ้าเกิดสึนามิขึ้นไม่ว่าจะกี่ริกเตอร์ ประเทศไทยจะได้รับความเสียหายมากกว่าครั้งที่แล้วแน่นอน"

ถามว่าจังหวัดไหนบ้างที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ดร.สมิทธ กล่าวว่า "คงไม่พ้น 6 จังหวัดที่โดนสึนามิครั้งที่แล้วถล่ม ที่น่ากลัวที่สุดก็ไล่ไปตั้งแต่ จ.ระนอง, พังงา, ภูเก็ต, กระบี่, ตรัง และสตูล และเรื่อยลงไปอีกซึ่งมันจะกินพื้นที่มากๆ อย่างไรก็ดีสิ่งที่ผมกล่าวมาทั้งหมด ปัจจัยหลักก็ต้องดูจุดเกิดสึนามิที่แน่นอนอีกที ซึ่งไม่มีใครพยากรณ์ได้ตรงเป๊ะๆ แต่รวมๆ แล้ว 6 จังหวัดที่ว่าโดนผลกระทบมหาศาลมากๆ ถ้าไม่เฝ้าระวัง ซึ่งเรื่องนี้ในการประชุมเรื่องสึนามิที่ประเทศไทยเมื่อปีที่แล้ว เราพูดกันเยอะแต่ก็เขาก็ไม่ได้บอกชัดเรื่องเกี่ยวกับประเทศไทย ระบุแต่ถ้าเกิดสึนามิอีกครั้ง ตั้งแต่พม่าโดนหมด อย่างแผ่นดินไหวที่เฮติในครั้งนี้ บางคนก็พยากรณ์ว่าอีกนานจะเกิด 10-100 ปี แต่ผมเชื่อว่ามันพยากรณ์ไม่ได้ อยู่ๆมันเกิดตูมขึ้นมา ภายใน 1-5 ปีนับจากนี้อาจไม่เกิดก็ได้ หรืออาจจะเกิดพรุ่งนี้ก็ได้ ไม่มีใครพยากรณ์ได้ ประเทศไทยก็เหมือนกันแต่เราก็ทำได้แค่ระวังตัว"


สำหรับวิธีป้องกัน อดีตผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กล่าวว่า ประเทศไทยก็ต้องมีระบบเตือนภัยที่ดี ซึ่งอาจจะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา ซึ่งเห็นคนในพื้นที่บอกว่าทุ่นเตือนภัยก็แบตฯหมด หอเตือนภัยก็ใช้การได้ไม่หมด ทั้งนี้ ตนคงพูดอะไรไม่ได้มาก เพราะโดนรัฐฟ้องอยู่ข้อหาหมิ่นประมาท "สิ่งที่ผมทำได้ก็คือ ปัจจุบันผมทำมูลนิธิเตือนภัยโดยไม่หวังกำไร ทำงานคู่ขนานไปกับศูนย์เตือนภัย พิบัติแห่งชาติของรัฐ โดยมูลนิธิเรามีหน้าที่เตือนภัยทำเหมือนกับศูนย์เตือนภัยพิบัติทุกๆอย่าง โดยเรามีเครือข่ายจากลูกทุ่งเน็ตเวิร์คกระจายเสียงทั้งหมด 81 สถานี ทั้งเอฟเอ็ม เอเอ็มทั่วประเทศที่จะติดตามความเหตุการณ์พร้อมกับเตือนภัยได้ 24 ชั่วโมง โดยมีสถานีวิทยุให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายสนุนค่าใช้จ่าย"

สุดท้ายดร.สมิทธ ฝากไปถึงประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยว่า มูลนิธิจะพยายามเตือนให้ทราบล่วงหน้าว่า ภัยธรรมชาติชนิดไหนจะเกิดขึ้นที่ไหน เราจะทำให้ดีที่สุด ขอให้ติดตามรับฟังเครือข่ายและสถานีวิทยุ โดยสามารถสอบถามและแจ้งเหตุได้ที่ 0-2888-2215 ได้ 24 ชั่วโมง
ด้านโหรชื่อดังนายโสรัจจะ นวลอยู่ ฉายานอสตราดามุสเมืองไทย ผู้ที่เคยทำนายประเทศไทยจะเกิดสึนามิใหญ่ อีกทั้งยังฟันธงอีกว่ากลางปีนี้ประเทศไทยจะมีสึนามิอีกครั้ง กล่าวว่า"ตามดวงดาวจริงแล้วมีเกณฑ์กลางปีนี้ 100% ซึ่งผมดูจากดวงดาวแล้ว กลางปีนี้ค่อนข้างจะน่าเป็นห่วงมากๆ เพราะว่าดาวที่สำคัญอย่างดาวเสาร์ อยู่ในภพอริของดวงเมืองอีกทั้งราหูมาอยู่ในภพที่ 9 ซึ่งตรงนี้มีผลมากๆ คือดาวสองดวงนี้ทำมุมกัน แล้วดาวพฤหัสก็เกี่ยวกับน้ำพฤหัสอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ค่อยดี อย่างไรก็ดีผมก็คิดว่าเป็นไปได้ว่า ประเทศไทยมีโอกาสจะเกิดทั้งแผ่นดินไหวแล้วก็เกิดสึนามิด้วย โดยเฉพาะชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมชายฝั่ง หรือแถบอันดามันตั้งแต่ระนองลงไปอันตรายมากๆ"
เมื่อถามถึงวิธีป้องกันโหรชื่อดังกล่าวว่า เป็นเรื่องที่ยากมากๆ เพราะว่ามันเป็นกฎแห่งดวงดาว ที่มาบรรจบกับภัยธรรมชาติ"สิ่งที่เตือนได้นอกจากการทำบุญแล้ว ผมอยากให้ภาครัฐใส่ใจตรวจสอบเครื่องเตือนภัยต่างๆ ให้สมบูรณ์แบบ ส่วนประชาชนก็ต้องคอยระมัดระวังฟังศูนย์เตือนภัย ซึ่งอาจจะทำให้เหตุการณ์ที่หนักหนาสาหัสในกลางปีนี้ทุเลาลงไปได้" นายโสรัจจะกล่าว.

ที่มา : http://www.oknation.net/blog/chacha/2010/01/19/entry-1
ค้นหาเพิ่มเติม : http://tnews.teenee.com/etc/46517.html, หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และภาพถ่ายจาก http://www.digitalglobe.com/
Read more >>