กำหนดการ
09.00 น. ลงเรือท่าเรือฟิชชิ่งบริดจ์ แสมสาร
10.00 น. Dive 1 ปล่อยปลาการ์ตูน บริเวณหินหลักเบ็ด หรือโรงโขน
12.00 น. รับประทานอาหารกลางวัน
14.00 น. Dive 2 Fun dive
16.00 น. เดินทางกลับเข้าฝั่ง
นักวิทยาศาสตร์ออสเตรเลียค้นพบหมึกยักษ์ในอินโดนีเซีย กำลังยึดเอากะลามะพร้าวเป็นเสมือนเกราะกำบัง เช่นกระดองของเต่า นับเป็นพฤติกรรมที่ไม่ได้เห็นตามปกติ และเชื่อว่านี่เป็นหลักฐานชิ้นแรกในการใช้เครื่องมือ ปกป้องตัวเองของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
สำนักข่าวเอพี รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์จากพิพิธภัณฑ์เมลเบิร์น (Museum Victoria in Melbourne) ประเทศออสเตรเลีย ได้บันทึกภาพการค้นพบ "ปลาหมึกสายดำ" (Amphioctopus marginatus) ที่กำลังครอบครองกะลามะพร้าวเพื่อให้เป็นกระดองที่พื้นทะเล แล้วนำ พากะลาชิ้นนั้นลากไปไกลกว่า 20 เมตร อีกทั้งยังทำเหมือนกะลาเป็นเปลือกหอยซ่อนตัวเองลงไปในนั้น
ภาพนี้บันทึกได้เมื่อวันที่ 10 ธ.ค.52 ปลาหมึกสายดำกำลังครอบครองกะลามะพร้าว โดยพยายามดึงจากพื้นทะเล ก่อนที่จะลากไปไกลกว่า 20 เมตร นับเป็นการบันทึกภาพพฤติกรรมเช่นนี้ของปลาหมึก และถือได้ว่าเป็นหลักฐานชิ้นแรกของการใช้เครื่องมือของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง (AP Photo/Museum Victoria, Roger Steene
จูเลียน ฟินน์ (Mark Norman) และ มาร์ก นอร์แมน (Mark Norman) แห่งพิพิธภัณฑ์เมลเบิร์น ได้สังเกตเห็นพฤติกรรมที่แปลกไปของสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ ระหว่างดำน้ำเก็บภาพสำรวจที่บริเวณทางเหนือของสุลาเวสีและบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย กว่า 500 ชั่วโมง ในช่วงปี พ.ศ. 2541-2551
พฤติกรรมและภาพที่พวกเขาค้นพบนั้น ถือเป็นหลักฐานชิ้นแรกของการใช้เครื่องมือในสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง จึงได้เขียนเป็นรายงานตีพิมพ์ลงในวารสาร "เคอร์เรนต์ ไบโอโลจี" (Current Biology) ฉบับวันที่ 15 ธ.ค.2552
"ผมเห็นหมึกยักษ์จำนวนมากซ่อนตัวอยู่ในกระดอง แต่ยังไม่เคยเห็นกับตา กับตัวที่กำลังคว้ากะลาและลากออกไปไกล" ฟินน์กล่าว
ทั้งนี้ หมึกยักษ์ส่วนใหญ่ต่างใช้วัตถุแปลกปลอมมาเป็นเกราะกำบัง แต่นักวิทยาศาสตร์ได้พบหมึกสายดำในขณะที่กำลังเตรียมการค้นหาและสร้างเกราะ นับเป็นตัวอย่างของการใช้เครื่องมือ ซึ่งในหมู่สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ไม่เคยมีใครได้บันทึกภาพแบบนี้มาก่อน
อย่างไรก็ดี ฟินน์บอกว่า พฤติกรรมสะสมกะลานี้ต่างจากการซ่อนตัวของปูเสฉวน ที่ปูนั้นใช้เป็นที่อยู่อาศัย แต่ปลาหมึกนั้นเก็บกะลาไว้เผื่อ สำหรับเหตุผิดปกติในอนาคต
"การค้นพบครั้งนี้มีนัยสำคัญ ที่ได้เปิดเผยพฤติกรรมอันซับซ้อนของสิ่งมีชีวิต" ความเห็นของ รศ.ไซมอน ร็อบสัน (Simon Robson) ภาควิชาชีววิทยาเขตร้อน มหาวิทยาลัยเจมส์คุก ในทาวนส์วิว ออสเตรเลีย (James Cook University in Townsville) ต่อผลงานชิ้นนี้
"ปลาหมึกยักษ์นับได้ว่าเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ที่ชาญฉลาดอันดับต้นๆ พวกมันมีประสาทตาดี และมีการปรับสายตาให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใด้ดียิ่ง รวมทั้งสมองที่ไวใช้ได้" ร็อบสันที่ไม่ได้ร่วมในการสำรวจให้ข้อมูลเพิ่มเติม.
ที่มา :
-ผู้จัดการออนไลน์ (15 ธ.ค.2552). Science&Technology. สืบค้นเมื่อ 15 เม.ย.2553. http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9520000152977
สืบค้นเพิ่มเติม :
-Museum Victoria in Melbourne
-James Cook University in Townsville
อดีตผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติกับโหรชื่อดังฉายา "นอสตราดามุสเมืองไทย" ทำนายตรงกัน กลางปีนี้ประเทศไทยเจอสึนามิถล่มหนักแน่ๆ...หลังจากเป็นที่ฮือฮากับรายงานข่าวจากต่างประเทศ เมื่อคณะผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาจากประเทศไอร์แลนด์เหนือนำโดย ศาสตราจารย์จอห์น แมคคลอสคีย์ สถาบันวิจัยนิเวศวิทยาแห่งมหาวิยาลัยอัลส์เตอร์ ไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งเป็นกลุ่มนักวิชาการที่ขึ้นชื่อว่า ทำนายเหตุการณ์สึนามิได้แม่นยำมากที่สุด ได้ส่งจดหมายเตือนภัยว่าอาจจะเกิดคลื่นยักษ์ ที่เป็นผลมาจากแผ่นดินไหวถล่มชายฝั่งเกาะสุมาตราในอนาคตอันใกล้
คำเตือนที่ว่านั้นยิ่งสร้างความสะพรึงกลัวให้กับคนไทย เมื่อมันมาตรงกับคำทำนายของนักวิชาการและโหราศาสตร์ชื่อดังก่อนหน้านี้ ที่ว่าสึนามิจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า ที่สำคัญประเทศไทยจะได้รับความเสียหายมากมายกว่าสึนามิเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2547
ผู้สื่อข่าวไทยรัฐออนไลน์สอบถามไปยัง ดร.สมิทธ ธรรมสโรช อดีตผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ผู้ที่เคยทำนายว่าประเทศไทยจะเกิดสึนามิครั้งใหญ่อีกครั้งในอนาคตอันใกล้ โดยเขาเห็นด้วยกับคำเตือนของศาสตราจารย์สถาบันวิจัยนิเวศวิทยา แห่งมหาวิยาลัยอัลส์เตอร์ไอร์แลนด์เหนือ ว่า ถ้าเกิดสึนามิครั้งนี้ ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบผู้คนจะล้มหายตายจากมากมายกว่าครั้งที่แล้วมาก "ปีที่แล้วผมมีโอกาสเข้าไปร่วมประชุมกับนักวิจัยญี่ปุ่น ซึ่งเขาก็พูดถึงเรื่องของศาสตราจารย์จอห์น แมคคลอสคีย์ ออกมาบอกว่าอีกไม่นานจะเกิดสึนามิอีกครั้ง ในส่วนประเทศไทยจะได้รับผลกระทบมากๆ เพราะว่ารอยเลื่อนแผ่นดินที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 47 มันเลื่อนแค่เศษ 1 ส่วน 4 เท่านั้น ดังนั้นจะเหลืออีกเศษ 3 ส่วน 4 ที่ยังไม่เกิด ซึ่งแผ่นดินมันค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาทางเหนือระหว่างเกาะนิโคบาและเกาะอันดามัน โดยการเลื่อนในครั้งนี้มันจะเขยิบเข้ามาใกล้กับชายฝั่งของประเทศไทยมากขึ้นจากครั้งที่แล้ว ดร.สมิทธกล่าวต่อว่า ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้อง 9 ริกเตอร์เหมือนกับครั้งที่แล้ว เรียกว่าขอให้เกิดสึนามิขึ้นเมื่อใด ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบมหาศาล....."คำนวณง่ายๆ ว่าสึนามิครั้งที่แล้วมันไกลจาก 6 จังหวัดภาคใต้ถึง 1,200 กิโลเมตร แต่รอยเลื่อนอีกเศษ 3 ส่วน 4 มันอยู่ใกล้ประเทศไทยเพียง 300-400 กิโลเมตร ดังนั้นถ้าเกิดสึนามิขึ้นไม่ว่าจะกี่ริกเตอร์ ประเทศไทยจะได้รับความเสียหายมากกว่าครั้งที่แล้วแน่นอน"
ถามว่าจังหวัดไหนบ้างที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ดร.สมิทธ กล่าวว่า "คงไม่พ้น 6 จังหวัดที่โดนสึนามิครั้งที่แล้วถล่ม ที่น่ากลัวที่สุดก็ไล่ไปตั้งแต่ จ.ระนอง, พังงา, ภูเก็ต, กระบี่, ตรัง และสตูล และเรื่อยลงไปอีกซึ่งมันจะกินพื้นที่มากๆ อย่างไรก็ดีสิ่งที่ผมกล่าวมาทั้งหมด ปัจจัยหลักก็ต้องดูจุดเกิดสึนามิที่แน่นอนอีกที ซึ่งไม่มีใครพยากรณ์ได้ตรงเป๊ะๆ แต่รวมๆ แล้ว 6 จังหวัดที่ว่าโดนผลกระทบมหาศาลมากๆ ถ้าไม่เฝ้าระวัง ซึ่งเรื่องนี้ในการประชุมเรื่องสึนามิที่ประเทศไทยเมื่อปีที่แล้ว เราพูดกันเยอะแต่ก็เขาก็ไม่ได้บอกชัดเรื่องเกี่ยวกับประเทศไทย ระบุแต่ถ้าเกิดสึนามิอีกครั้ง ตั้งแต่พม่าโดนหมด อย่างแผ่นดินไหวที่เฮติในครั้งนี้ บางคนก็พยากรณ์ว่าอีกนานจะเกิด 10-100 ปี แต่ผมเชื่อว่ามันพยากรณ์ไม่ได้ อยู่ๆมันเกิดตูมขึ้นมา ภายใน 1-5 ปีนับจากนี้อาจไม่เกิดก็ได้ หรืออาจจะเกิดพรุ่งนี้ก็ได้ ไม่มีใครพยากรณ์ได้ ประเทศไทยก็เหมือนกันแต่เราก็ทำได้แค่ระวังตัว"