วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2552

พบโลมาสีชมพู

มีศิษย์ดำน้ำได้ Forward Mail มาให้ว่า พบโลมาสีชมพูที่ USA เห็นว่ามีประโยชน์ จึงขออนุญาตนำข้อมูลว่าไว้ใน Blog นี้ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน..





ฮือฮา! โลมาสีชมพู โผล่ทะเลสาบสหรัฐ

เดลี่เมล์รายงานวันที่ 3 มี.ค. ว่า มีผู้จับภาพลูกโลมาปากขวดสีชมพูได้ ซึ่งไม่เคยพบเห็นมาก่อน ในทะเลสาบน้ำเค็มในรัฐหลุยเซียนา สหรัฐอเมริกา อยู่ทางเหนือของอ่าวเม็กซิโก นายเอริก รู วัย 42 ปี ผู้บันทึกภาพได้ เล่าว่า ตอนแรกสะดุดตากับดวงตาของโลมาตัวนี้ก่อน เพราะเป็นสีแดง ว่ายมากับโลมาอื่นๆ อีก 4 ตัว ตัวหนึ่งเหมือนจะเป็นแม่ของมันที่ว่ายน้ำอยู่ไม่ห่าง เมื่อจ้องมองมันนานขึ้น ยิ่งสังเกตว่า สีของมันสว่างกว่าตัวอื่น กระทั่งเมื่อเห็นชัดๆ จึงเห็นว่าเป็นสีชมพู น่าตื่นตาตื่นใจมาก เหมือนกับโผล่มาจากตู้ย้อมสี เป็นสีชมพูตั้งแต่หัวจรดหาง การที่มันมีดวงตาสีแดง เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเป็นภาวะผิวเผือก ส่วนสุขภาพของมันดูแข็งแรงดี

"ผมรู้สึกว่าโชคดีมากๆ ที่ได้เห็นโลมาตัวนี้ และโชคดีที่ได้ทำงานวิจัยโลมาแถวนี้ เพราะมัก ได้เห็นสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์บ่อยๆ" เอริก กล่าว





Read more >>

วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2552

สิ่งมหัศจรรย์เกาะเต่า


น้ำทะเล เกาะเต่า เกาะนางยวน รักษาโรคได้
"ทะเล" เป็นส่วนหนึ่งของโลกเช่นเดียวกับแผ่นดิน เนื้อที่ 3 ใน 4 ส่วนของโลกเป็นทะเล และเป็นแผ่นดินเพียง 1 ส่วน ทฤษฎีไหลเลื่อนของโลกทำให้แผ่นดินแยกออกจากกัน กลายเป็นแผ่นดินของทวีปต่างๆ หลายคนไม่อยากเดินทางไกลโดยข้ามน้ำข้ามทะเล เพราะทะเลเวิ้งว้างน่ากลัว แต่ทะเลก็เป็นอาณาจักรแห่งทรัพยากรธรรมชาติอันมากมายมหาศาล

ทะเลเป็นแหล่งของปลาที่ใหญ่ที่สุด และมีปลามากที่สุด มนุษย์ได้อาหารจากทะเล ได้น้ำมัน ได้แก๊สธรรมชาติ รวมทั้งสิ่งมีค่าอื่นๆ อีกมากมายเหลือคณานับ น้ำทะเลเค็ม และความเค็มของน้ำทะเลก็ไม่มีอะไรจะมาทำให้ทะเลลดความเค็มลงไปได้ ทะเลไม่เคยมีอะไรทำให้เน่าหรือเสีย แม้ขยะที่ลอยอยู่ในทะเลจะถูกซัดเข้าหาฝั่ง ทะเลเป็นแหล่งรวมของแม่น้ำทุกสายจากภูเขา แม้ฝนจะตกกี่หมื่นกี่แสนห่า น้ำจืดจากแม่น้ำทุกสายจะไหลลงทะเล แต่นั่นไม่อาจจะทำให้ความเค็มของน้ำทะเลเจือจางลงไปเลยแม้แต่น้อย น้ำจืดเสียอีกที่จะถูกกลืนเป็นน้ำเค็ม

น้ำทะเล เกาะเต่า เกาะนางยวน รักษาโรคได้จริงหรือไม่?
ข้อนี้หลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล โดยส่วนตัวของผู้เขียนเองแล้วได้พิสูจน์โดยการนำสุนัขที่บ้านซึ่งเป็นโรคเรื้อนเรื้อรัง พาไปอาบน้ำทะเลฝั่งชุมพรอยู่ห่างจากบ้านผู้เขียนประมาณ 2 กิโลเมตร และหมั่นพาไปอาบอยู่หลายครั้ง ปรากฏผลที่น่ายินดีถึงสุนัขมีอาการดีขึ้น และหายเป็นปกติในช่วงระยะเวลาไม่ถึงเดือน หรือบางคนก็คิดว่าคงเป็นการรักษาโรคผิวหนังบางชนิดเท่านั้น แต่ในทางวิทยาศาสตร์แล้ว นักวิทยาศาสตร์ได้พบความจริงอันน่าทึ่งว่า น้ำทะเลมิใช่เพียงแต่รักษาโรคผิวหนังเท่านั้น แต่น้ำทะเลนั้นรักษาโรคอื่นได้อีกด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้สรุปไว้ว่า น้ำทะเลช่วยในการรักษาโรคผิวหนัง โรคเกี่ยวกับตับและกระดูกอ่อน โรคดังกล่าวนี้สามารถรักษาได้ด้วยน้ำทะเล แต่ว่าต้องเป็นน้ำทะเลที่อยู่ในเขตลึก 80 - 100 เมตร สำหรับโรคผิวหนัง อาจจะไม่จำเป็นต้องลึกขนาดนั้น ได้สอบถามนักท่องเที่ยว ที่มาดำน้ำลึก Scuba เขต เกาะเต่า เกาะนางยวน หลายคนทราบ และก็มีอีกหลายคนไม่ทราบว่าน้ำทะเล เกาะเต่า เกาะนางยวน รักษาโรคผิวหนังและโรคบางโรคได้จริง

ในส่วนที่เกี่ยวกับอากาศชายทะเล มนุษย์สามารถได้รับแสงแดดและโอโซนอันบริสุทธิ์ ช่วยให้ชีวิตสดชื่น เมื่อสูดอากาศริมทะเลเข้าไปในปอด ข้อนี้คงไม่แปลกอะไรที่นักท่องเที่ยวนิยมไปชายทะเล แม้แต่ชาวต่างประเทศ ก็ยังลงทุนเดินทางไปเที่ยวทะเล ทั้งที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมาย นั่นเป็นเพราะ… เขารู้ว่าประโยชน์จากทะเลมีคุณค่าแก่ชีวิตนั่นเอง


ฉลามวาฬ เป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก พบเห็นได้ที่ เกาะเต่าในบรรดาปลาในมหาสมุทร ปลาฉลามได้ชื่อว่าดุร้ายที่สุด สามารถฆ่าคนให้ตายและกลืนเป็นอาหารในพริบตา แต่ถ้าถามว่าปลาอะไรที่ตัวโตที่สุด ทุกคนคงจะตอบพร้อมกันว่า "ปลาวาฬ" เป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุด นั่นอาจจะจริง เพราะยังไม่มีปลาชนิดอื่นใหญ่เท่าปลาวาฬ อย่างไรก็ตามสถิติใหญ่ที่สุดของโลกนั้น ยังมีปลาอีกชนิดหนึ่ง มีขนาดใหญ่โตกว่าปลาวาฬทั่วไป เป็นปลาที่อยู่ในตระกูลเดียวกับปลาวาฬ และมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า ฉลามวาฬ (Whale Shark)

ปลาฉลามวาฬ จัดว่าเป็นปลาที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่เราไม่ค่อยจะได้พบปลาชนิดนี้บ่อยนัก มีผู้พบเห็นฉลามวาฬเข้ามาเกยตื้นอยู่ในอ่าวไทยให้เป็นข่าวไปทั่วโลกมาแล้ว

ปลาฉลามวาฬที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นปลาที่เคยติดโป๊ะบริเวณ เกาะจิก (Chick) ทางฝั่งทะเลด้านตะวันออกของอ่าวไทย เมื่อปี พ.ศ. 2462 ปลาฉลามวาฬตัวนี้ติดโป๊ะอยู่นานถึง 7 วัน ก่อนถูกยิงด้วยปืนไรเฟิลในช่วงเวลาถัดมา ขนาดความใหญ่โตของปลาฉลามวาฬ เป็นชื่อที่ผสมผสานระหว่างปลาฉลามกับปลาวาฬ และรูปร่างของปลาทั้งสองชนิดนี้มีลักษณะพันธุ์ทางที่คล้ายกัน คือ ปลาฉลามและปลาวาฬ ผิดกันก็ตรงที่ขนาดตัวของปลาวาฬใหญ่มหึมา โตกว่าปลาฉลามมากมาย ลักษณะตามตัวฉลามวาฬมีลายเป็นจุดขาวๆ แต้มทั่วตัว รูปร่างคล้ายกับปลาฉลามมากกว่าปลาวาฬ

ปลาฉลามวาฬเป็นปลาที่ไม่ค่อยจะได้พบเห็นจากที่ใดในโลกบ่อยนัก เพราะฉลามวาฬมักอาศัยอยู่ในทะเลลึก นานๆ จึงจะปรากฏตัวให้เห็นสักครั้ง จนบางครั้งรู้สึกว่า เป็นปลาที่สูญพันธุ์ไปแล้วในสายตาชาวโลก แต่สำหรับที่ เกาะเต่า แล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ โอกาสที่จะพบกับฉลามวาฬมีค่อนข้างสูงทีเดียว และทำให้ เกาะเต่า เป็นแม่เหล็กสำคัญในการดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ให้มาดำน้ำลึก Scuba ที่ เกาะเต่า ทำให้เกิดธุรกิจขั้นอุตสาหกรรมดำน้ำอย่างมากมาย และ เกาะเต่า จึงได้สร้างสิ่งดีๆ ประทับใจแก่ผู้มาเยือนเสมอ

นิสัยของปลาฉลามวาฬ ผิดกับปลาฉลาม คือ ฉลามวาฬเป็นปลาที่เชื่องช้า ไม่ดุร้ายเหมือนปลาฉลาม ชอบกินแพลงตอนเป็นอาหาร ชอบอาศัยอยู่ในแถบอบอุ่นของมหาสมุทรแอตแลนติค แปซิฟิค และมหาสมุทรอินเดีย

ถึงคำถามที่หลายคนสงสัยอยู่ประการหนึ่งว่า ถ้าคนเราเข้าไปอยู่ในท้องของปลาวาฬ จะตายหรือไม่? ด้วยการจำลองเหตุการณ์ดังกล่าวไปสร้างเป็นภาพยนต์การ์ตูนมากมายหลายเรื่อง และเกือบจะทุกเรื่อง สรุปให้คนรอดชีวิตจากเหตุการณ์ตกไปอยู่ในท้องของปลาวาฬเสมอ ซึ่งตามธรรมดาสามารถตอบได้เลยว่า คนที่เข้าไปอยู่ในท้องปลา จะไม่มีโอกาสรอดได้เลย แต่มีสิ่งที่น่าทึ่งถึงตัวอย่างเหตุการณ์ดังกล่าวที่ได้ถูกบันทึกไว้ในโลกว่า...

เมื่อเดือน กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1891 เจมส์ ปาร์ติเลย์ แห่งกลอสเซสเตอร์ เขาได้ทำการล่าปลาวาฬในภาคใต้ของแอตแลนติค ขณะที่ลงเรือเล็กยาวออกล่านั้น ปลาวาฬได้ใช้หางฟาดเรือขาด ตัวเขาได้หายไป และในคืนวันต่อมา ปลาวาฬตัวนั้นถูกล่าได้ และได้ผ่าท้องปลาวาฬตัวนั้น ปรากฏว่าพบร่างของ เจมส์ อยู่ในท้องของปลาวาฬ เขาสลบอยู่แต่ยังไม่ตาย


ปลาโอเชียนซันฟิช ยิงด้วยปืนไม่เข้าในบรรดาสัตว์โลกทั้งหลาย เราทราบดีว่า จระเข้หนังเหนียวมาก แต่กระนั้นหนังของมันไม่อาจต้านทานหัวกระสุนเหล็กกล้าของลูกปืนได้ เมื่อหันมาพิจารณาสัตว์น้ำจำพวกปลา ไม่ว่าปลาชนิดไหนแม้หนังเหนียวแต่ยิงเข้าทุกชนิด

มีปลาประหลาดอยู่ชนิดหนึ่ง รูปร่างคล้ายกับเครื่องโม่แป้งหรือคล้ายรูปไข่ ครีบบนและล่างตั้งตรงอยู่ส่วนท้ายของลำตัว หางกุด มองดูแล้วไม่เหมือนปลาทั่วไปในโลกเลย ปลาดังกล่าวนี้มีปากเล็กและมีชื่อว่า "ปลาโอเชียนซันฟิช"

ปลาโอเชียนซันฟิซ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า "โมลา" ตรงกับภาษาลาติน ซึ่งแปลว่า "หินที่ใช้โม่แป้ง" บางทีก็เรียกว่าปลาหัวโต หรือ เฮดฟิช ลักษณะลำตัวเป็นสีน้ำตาลอ่อน บ้างก็มีสีเทาค่อนไปทางสีฟ้า หรือสีเงินวาว มีฟันซี่เล็กๆ แหลมคม ครีบหลังและครีบหางค่อนข้างใหญ่

ปลาโอเชียนซันฟิช มีผู้พบเห็นอยู่ 2 ชนิด ชนิดแรกเรียกว่า "เอ็ม จานซีโอลาต้า" หางมีลักษณะคล้ายรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีความยาวของลำตัว 10 ฟุต หนัก 1 ตัน

ส่วนปลาโอเชียนซันฟิช ชนิดที่ 2 เรียกว่า "ลาซาเนีย ทรุนคาต้า" หางมีลักษณะเป็นขอบกลมๆ มีขนาดเล็กกว่าชนิดแรก

สำหรับปลาชนิดนี้ ยังมีอยู่อีกชนิดหนึ่ง มีความยาวประมาณ 2 ฟุต มีขนาดเล็กกว่าชนิดที่ 2 มักอยู่ในทะเลที่มีกระแสน้ำอุ่น หรืออุณหภูมิปกติ ปลาโอเชียนซันฟิช เป็นปลาที่สร้างความอัศจรรย์ใจแก่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกมาแล้ว พฤติกรรมหลากหลายล้วนน่าทึ่งเป็นอย่างยิ่ง มีผู้พบเห็นปลาโอเชียนซันฟิชลอยตัวอาบแดดบนผิวน้ำ มองดูแล้วเหมือนปลาตายลอยน้ำ หรืออีกประหนึ่งคล้ายกับปลากำลังจะตาย นักประดาน้ำเคยดำดิ่งลงไป ลึกประมาณ 50 ฟุต และได้พบปลาโอเชียนซันฟิช ราว 100 กว่าตัว ส่วนมากนัยตาหายไปและตายอยู่ใต้น้ำ นักสัตววิทยาชาวดัช 2 คน ค้นพบว่า ปลาโอเชียนซันฟิชนี้มีมากกว่า 57 ชนิด พบมากในฝั่งทะเลฮอลแลนด์ระหว่างปี ค.ศ. 1836 - 1939

ปลาโอเชียนซันฟิช มีชีวิตอยู่ได้ด้วยอาหารจำพวก หอย ปู กุ้ง ลูกปลาเล็กๆ และแมงกะพรุน ตัวเมียจะวางไข่ประมาณ 300 ล้านฟอง ตัวอ่อนยาวประมาณ 1/10 นิ้ว จะเปลี่ยนครีบและร่างเจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ กระดูกสันหลังจะแข็ง และยาวราว 5 นิ้ว ในระยะเวลา 15 วัน มีลำตัว 1/2 นิ้ว

อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจของปลาชนิดนี้ก็คือ เป็นปลาหนังเหนียวที่สุดในโลก หนังของปลาโอเชียนซันฟิชแข็งเหมือนหินสมกับชื่อดั้งเดิม "โมลา" ซึ่งแปลว่าหินจริงๆ มีผู้ทำการทดลองความเหนียวของปลาโอเชียนซันฟิช ด้วยวิธีการหลายอย่าง เช่น ใช้ฉมวกเหล็กกล้าปลายแหลมแทงขณะอยู่ในน้ำ แต่ปรากฏว่าปลาโอเชียนซันฟิชดำน้ำหนีไปได้อย่างรวดเร็ว เพียงแต่ส่งเสียงร้องออกทางจมูกและไรฟัน เสียงดังคล้ายเสียงหนูร้อง การทดลองครั้งสำคัญก็คือ ใช้ปืนที่มีอานุภาพในการทำลายสูง แต่ผลปรากฏลูกกระสุนปืนพุ่งแฉลบหนังออกไป ทำการทดลองอยู่หลายครั้งได้ผลเช่นเดิม ทำให้ทราบว่าลูกกระสุนปืนไม่สามารถเจาะผิวหนังของปลาโอเชียนซันฟิชได้เลย

ศัตรูที่ร้ายกาจของปลาโอเชียนซันฟิช คือ ปลาฉลาม แต่เขี้ยวเล็บอย่างฉลามก็ทำอะไรปลาโอเชียนซันฟิชไม่ได้เลย เมื่อเจอหนังเหนียวของปลามหาหิน ปลาที่ยิงด้วยปืนไม่เข้า เว้นเสียแต่ฉลามก็ฉลาดพอที่จะจู่โจมเข้าที่นัยตาของปลาโอเชียนซันฟิชอย่างจัง


ยูโตเปีย คืออะไร ?
เกาะเต่า มีรีสอร์ทอยู่แห่งหนึ่งชื่อ "
ยูโตเปีย สูท รีสอร์ท" เคยสงสัยถึงที่มาของชื่อนี้กันบ้างไหมว่า "ยูโตเปีย" มีที่มาอย่างไร

คำว่า ยูโตเปีย ( UTOPIA ) เป็นคำที่คู่กับคำว่า ยุคพระศรีอาริยเมตไตร ผู้ที่ให้กำเนิดคำๆ นี้ คือ โฮมัส โมร์ เขาเป็นขุนนางใหญ่ของอังกฤษ ในรัชสมัยพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 เกิดในปี ค.ศ. 1480 ถูกประหารชีวิตในปี ค.ศ. 1535 ฐานไม่ยอมรับนับถือว่าเฮนรี่มีอำนาจเป็นใหญ่ในทางศาสนา แต่ต่อมาในคริสตวรรษที่ 20 โป๊ปได้กระทำอภิเษกให้เป็นเซนต์

"ยูโตเปีย" เป็นภาพวาดสังคมสมมติที่ โฮมัส โมร์ ได้สร้างความคิดฝันขึ้น โดยสังคมสมมตินั้น มีเกาะหนึ่ง ชื่อ " UTO PIA ยูโตเปีย " สังคมดังกล่าวนี้ ทรัพย์สินทั้งหลายเป็นของสังคมทุกๆ คน ถือธรรมประจำใจว่า ต้องทำงานและเสียสละเพื่อส่วนรวม เป็นสังคมในความฝัน

ต่อมาคำๆ นี้ จึงมีผู้นำมาใช้เรียกกลุ่มหรือผู้ที่วาดภาพทางสังคม ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ทางสังคมว่า นักสังคมยูโตเปีย หรือคติที่เป็นไปในความฝัน ซึ่งไม่มีทางสำเร็จได้ จึงเรียก "ยูโตเปีย" อย่างไรก็ตามคำว่า "ยูโตเปีย" และความหมายของสังคมสมมตินี้ มีแนวคิดคล้ายคลึงกับ พุทธทำนาย ที่ปู่ย่าตายายเคยพูดสืบทอดต่อกันมาว่า ปลายพุทธศาสนานุกาล มนุษย์จะเข้าสู่มิคสัญญี เพราะศีลธรรมเสื่อมทรามลง จึงมีแต่รบราฆ่าฟันกัน เบียดเบียนกัน สิ่งมหัศจรรย์จะเกิดขึ้น ไฟบรรลัยกัลป์จะล้างโลกที่โสมม แล้วเกิดยุคใหม่คือ ยุคพระศรีอาริยเมตไตรก็จะอุบัติขึ้น แต่ละยุคนั้นมนุษยชาติจะอยู่ร่วมกันด้วยความเมตตาปราณีระหว่างกัน บุคคลเสมอเหมือนกัน ประดุจว่าเมื่อออกจากบ้านแล้ว ต่างก็สังเกตความผิดเพี้ยนระหว่างกันไม่ได้ ความสะดวกสบายในการคมนาคม และความอุดมสมบูรณ์ของปัจจัยหลั่งไหลเหลือคณานับ ประดุงว่ามีต้นกัลปพฤกษ์ทุกมุมเมือง ซึ่งมนุษย์จะถือเอาได้ตามต้องการ.

ที่มา : เกาะเต่าทูเดย์ (http://www.kohtaotoday.com/koh_tao_thai_language.html) สืบค้นเมื่อ 9 เม.ย.2552
Read more >>

วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2552

ฉลามวาฬ สัตว์นำโชคของทะเลไทย



ปลาใหญ่ที่สุดในโลก ขนาดโตเต็มที่อาจยาวเกิน 12 เมตร น้ำหนักเกิน 11 ตัน ฉลามวาฬพบได้ทั่วโลก แต่มีเพียงทะเลบางแห่ง...บางแห่งเท่านั้น ที่พบเขาชุกชุม จนกลายเป็นตำนานเล่าขานถึงปลาใหญ่สุดที่มวลมนุษยชาติได้รู้จัก เมื่อพ.ศ.2467 กลางอ่าวไทย ฉลามวาฬขนาดยาวเกิน 15 เมตรถูกจับได้ ตลอดประวัติศาสตร์หลายพันปีของมนุษย์ เราไม่เคยพบปลาตัวไหนใหญ่กว่านั้น...อีกแล้ว



ลำดับทางอนุกรมวิธาน
-Phylum Vertebrata
-Class Chordata
-Order Orectolobiformes
-Family Rhincodontidae
-Genus Rhincodon
-Sciencetific name Rhincodon typus

ชื่อไทย ฉลามวาฬ หัวบุ้งกี๋
ชื่อสามัญ Whale shark

ฉลามวาฬ ( Whale shark - Rhincodon typus ) เป็นสัตว์เลือดเย็นในพวกปลากระดูกอ่อน กลุ่มปลาฉลาม เป็นชนิดเดียวใน Family Rhincodontidae และอยู่ใน Order Orectolobiformes ร่วมกับฉลามเสือดาว ( leopard shark - Stegostoma fasciatum ) และ ฉลามขี้เซา ( Nurse shark - Nebrius ferrugineus )

ฉลามวาฬ ใช้เหงือกในการหายใจ มีช่องเหงือก 5 ช่อง มีครีบอก 2 อัน ครีบหาง 2 อัน และครีบก้น(หาง) 1 อัน หางของฉลามวาฬ อยู่ในแนวตั้งฉาก และโบกไปมาในแนวซ้าย-ขวา แตกต่างจากสัตว์เลือดอุ่นในทะเลที่หางอยู่ในแนวขนานและหายใจด้วยปอด อาทิ วาฬ โลมา พะยูน เป็นต้น

ฉลามวาฬเป็นปลาและสัตว์เลือดเย็นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก กิน plankton เป็นอาหารเช่นเดียว กับกระเบนราหู ( Manta ray - Manta brevirostris ) แต่มีวิธีการกินที่แตกต่างกันออกไป โดยฉลามวาฬจะว่ายเข้าหาฝูง plankton แล้วอ้าปากหุบน้ำ เข้าไปจากนั้นก็จะใช้ซี่เหงือกกรอง plankton ไว้ ขณะที่ manta จะอ้าปากให้น้ำผ่านตลอดเวลา

ลักษณะของฉลามวาฬที่แตกต่างจากฉลามที่เรารู้จักกันคือ หัวที่ใหญ่โตมากเมื่อเทียบกับขนาดลำตัว และปากที่อยู่ด้านหน้าแทนที่จะอยู่ด้านล่าง ลักษณะการกินอาหารไม่ใช่ปัจจัยที่นักวิทยาศาสตร์ใช้แบ่งฉลามวาฬออกจากฉลามตัวอื่นๆ เนื่องจากยังมีฉลามอีก 2 ชนิดที่ กิน plankton เป็นอาหารแต่อยู่คนละ order กับฉลามวาฬ

วงจรชีวิต ฉลามวาฬเป็นสัตว์ที่มีวงจรชีวิตลึกลับ เท่าที่มีรายงานทราบว่าฉลามวาฬมีอายุยืนมาก จากรายงานของประเทศออสเตรเลียพบว่าฉลามวาฬจะเริ่มสืบพันธุ์ เมื่ออายุ 30 ปี หากเปรียบเทียบช่วงอายุการสืบพันธุ์กับฉลามอื่นใน Order เดียวกันแล้ว พบว่าฉลามวาฬอาจมีอายุถึง 100 ปี ไม่เคยมีใครเห็นฉลามวาฬผสมพันธุ์ในน้ำ แต่คาดว่าจะเกิดขึ้นในทะเลลึกนอกจากนี้เรายังไม่ทราบแน่ชัดฉลามวาฬออกลูกเป็นตัวหรือเป็นไข่

ในปีค.ศ. 1953 มีเรือประมงลากอวนได้ไข่ของฉลามวาฬ ขนาด 35 เซนติเมตรขึ้นมาได้จากระดับความลึก 55 เมตร ภายในมีตัวอ่อนฉลามวาฬ แต่เราก็ยังไม่แน่ใจว่าฉลามวาฬออกลูกเป็นไข่ เนื่องจากว่าหลังจากนั้นไม่เคยมีใครเห็นไข่ฉลามวาฬอีกเลย

นักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อว่าฉลามวาฬออกลูกเป็นตัว (ไข่ฟักตัวในท้องแม่ แล้วออกมาเป็นตัวข้างนอก) สันนิษฐานว่า ฉลามวาฬ 1 ตัวอาจมีไข่มากว่า 100 ฟอง ในรังไข่ อย่างไรก็ตาม สมมุติฐานนี้ก็ยังไม่มีการยืนยัน

บางท่านอาจสงสัยว่า ทำไมไม่เทียบกับฉลามอื่นๆใน Order เดียวกัน คำตอบก็คือ ฉลามในกลุ่มเดียวกันนั้นออกลูกได้ทั้งเป็นตัว(ฉลามขี้เซา) และเป็นไข่(ฉลามเสือดาว) เรื่องที่น่าประหลาดอีกเรื่องก็คือ ฉลามวาฬ เกือบทั้งหมดที่พบมีขนาดใหญ่กว่า 3.5 เมตร มีเพียง 3 ครั้ง เท่านั้นที่พบขนาดเล็กกว่านั้น คือมีขนาด 60 เซนติเมตร 1.3 เมตร และ 3 เมตร

การแพร่กระจาย ฉลามวาฬมีการแพร่กระจายในทะเลเขตร้อนทั่วโลก ยกเว้นทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน ฉลามวาฬมักอาศัยอยู่ในบริเวณที่น้ำมีอุณหภูมิ 21-26 องศาเซลเซียส โดยมีการแพร่กระจายสัมพันธ์กับกระแสน้ำอุ่นในบางบริเวณ ฉลามวาฬมักพบในเขตที่มวลน้ำอุ่นปะทะกับน้ำเย็นและ มี plankton มาก ในบริเวณน้ำผุด ( กระแสน้ำด้านล่างพัดปะทะแนวหินแล้วพัดพาเอาธาตุอาหารจากพื้นขึ้นสู่มวลน้ำด้านบน - Upwelling )



นอกจากนี้หลายคนเชื่อว่าฉลามวาฬมีการอพยพย้ายถิ่นแต่ยังไม่มีแนวทางแน่นอนว่าเป็นแนวทางใด ฉลามวาฬในเมืองไทยส่วนใหญ่พบตามกองหินใต้น้ำในบริเวณทะเลเปิด มีความลึก 30 เมตรขึ้นไป อาทิ ริเชลิว หินม่วง หินแดง กองตุ้งกู โลซิน ฯลฯ จุดที่เชื่อกันว่าพบฉลามวาฬบ่อยที่สุดคือ ริเชลิว มีความเป็นไปได้ในเรื่องการอพยพของฉลามวาฬในระยะทางหลายร้อยกิโลเมตร อาทิ พบว่ามีการอพยพของฉลามวาฬจากเกาะปาปัวนิวกีนีลงมาตามชายฝั่งด้านตะวันออกของแนวปะการัง great barrier reef

การล่าฉลามวาฬในต่างประเทศ ชาวประมงต้องการเพียงแค่ซึ่งมีราคาสูงที่สุด ครีบและหางจะถูกนำมาตากแห้ง ก่อนแล่แล้วส่งโรงงานทำเป็น “หูฉลาม” บางครั้งชาวประมงแล่เอาครีบและหางกลางทะเล ก่อนปล่อยให้ซากศพจมสู่พื้นทะเล เนื้อส่วนท้องของฉลามวาฬจะถูกชำแหละเป็นชิ้น เนื้อส่วนนี้จะถูกนำไปทำเป็น “ฉลามเต้าหู้” ส่วนเครื่องในของฉลามวาฬ เช่น ตับ จะถูกนำส่งโรงงานไปทำน้ำมันตับปลา ใส่แคปซูลไปให้คนกินทั่วโลก แต่ไม่ใช่เฉพาะฉลามวาฬเท่านั้นที่มีตับ ปลาอื่นก็มี และยังมีอีกหมื่นอีกแสนปลาที่เป็นอาหารของพวกเราโดยตรง ไม่จำเป็นต้องฆ่าฉลามวาฬเพียงเพื่อหวังตับและครีบ

เหตุการณ์ทั้งหมดไม่ได้เกิดในทะเลไทย ประมงไทยยังนับถือฉลามวาฬเหมือนเจ้าพ่อ หรือตัวนำโชคแต่ฉลามวาฬเป็นสัตว์อพยพ มีการเดินทางจากทะเลหนึ่งไปอีกทะเลหนึ่ง เขาไม่รับรู้รับทราบกับการแบ่งขอบเขตประเทศของมนุษย์แม้แต่น้อย


หลายสิบปีผ่านไป ฉลามวาฬยังคงอยู่คู่ทะเลไทย พบชุกชุมที่หินริเชลิว ฝั่งทะเลอันดามัน จังหวัดพังงา ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน บริเวณหินม่วง-หินแดง ในเดือนมกราคม ฯลฯ รวมทั้งข้อมูลที่พบทั่วไปในอ่าวไทย เกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี หินเพลิง จังหวัดระยอง หินแพ จังหวัดชุมพร ฯลฯ นักดำน้ำต่างพากันลงทะเล ยอมเสียเงินหลายหมื่นบาท บางคนลงทุนข้ามโลกมา เพื่อเพียงได้เห็น ได้มีโอกาสว่ายน้ำเคียงคู่กับปลาใหญ่ที่สุดในโลกสักครั้งในชีวิต ข้อมูลจากการสำรวจขั้นต้น ฉลามวาฬหนึ่งตัวที่หินริเชลิว ทำรายได้ให้ประเทศไทยประมาณ 200 ล้านบาทต่อปี

บริเวณอ่าวไทยฝั่งตะวันออก มีชาวประมงและนักดำน้ำเจอกันเป็นประจำในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ซึ่งฉลามวาฬส่วนใหญ่จะเข้ามากินอาหาร ได้แก่ พวกลูกกุ้ง เคย เนื่องจากมีความชุกชุมมากในช่วงนี้ จากการสอบถามคุณวิเชียร สิงห์โตทอง ประธานชมรมธุรกิจท่องเที่ยว บอกว่าในปี พ.ศ. 2546 เจอฉลามวาฬ 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2546 มีความยาวประมาณ 8 เมตร ที่บริเวณเกาะรัง จังหวัดตราด ความลึกของน้ำประมาณ 30 เมตร และเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2546 พบบริเวณหินเพลิง จังหวัดระยอง ความยาวลำตัวประมาณ 7-8 เมตร พบที่ความลึกของน้ำประมาณ 30 เมตร และจากการสอบถามชาวประมงเรือไดหมึก พบฉลามวาฬเป็นประจำทุกปีในช่วงฤดูหนาว (ตุลาคม-กุมภาพันธ์) บริเวณเกาะทะลุ และบริเวณหมู่เกาะมัน ที่ความลึกของน้ำประมาณ 15-17 เมตร ในปีพ.ศ.2548 คืนวันที่ 22 พฤษภาคม 2548 คุณวิเชียร สิงห์โตทอง พบปลาฉลามวาฬเพศเมีย ความยาวลำตัว 4.5 เมตร น้ำหนัก 480 กิโลกรัม เข้ามาเกยตื้นที่บริเวณหาดแหลมแม่พิมพ์ จังหวัดระยอง ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ชาวบ้านและชาวประมงในบริเวณนั้นช่วยกันผลักให้ฉลามวาฬลงทะเลไปได้ แต่ฉลามวาฬอาจได้รับบาดเจ็บหรือป่วย เช้าวันที่ 23 พฤษภาคม 2548 ก็พบว่าได้เสียชีวิตแล้ว ซากของฉลามวาฬได้นำไปผ่าพิสูจน์ปรากฏว่าไม่พบอาหารในกระเพาะเลย คาดว่าน่าจะป่วยหรือได้รับบาดเจ็บจนว่ายน้ำ ไม่ไหว

ข้อมูล : การจัดองค์ความรู้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (http://km.dmcr.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=99:2009-02-17-04-13-13&catid=93:2009-02-16-08-37-08&Itemid=28)
Read more >>