วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2552

สิ่งมหัศจรรย์เกาะเต่า


น้ำทะเล เกาะเต่า เกาะนางยวน รักษาโรคได้
"ทะเล" เป็นส่วนหนึ่งของโลกเช่นเดียวกับแผ่นดิน เนื้อที่ 3 ใน 4 ส่วนของโลกเป็นทะเล และเป็นแผ่นดินเพียง 1 ส่วน ทฤษฎีไหลเลื่อนของโลกทำให้แผ่นดินแยกออกจากกัน กลายเป็นแผ่นดินของทวีปต่างๆ หลายคนไม่อยากเดินทางไกลโดยข้ามน้ำข้ามทะเล เพราะทะเลเวิ้งว้างน่ากลัว แต่ทะเลก็เป็นอาณาจักรแห่งทรัพยากรธรรมชาติอันมากมายมหาศาล

ทะเลเป็นแหล่งของปลาที่ใหญ่ที่สุด และมีปลามากที่สุด มนุษย์ได้อาหารจากทะเล ได้น้ำมัน ได้แก๊สธรรมชาติ รวมทั้งสิ่งมีค่าอื่นๆ อีกมากมายเหลือคณานับ น้ำทะเลเค็ม และความเค็มของน้ำทะเลก็ไม่มีอะไรจะมาทำให้ทะเลลดความเค็มลงไปได้ ทะเลไม่เคยมีอะไรทำให้เน่าหรือเสีย แม้ขยะที่ลอยอยู่ในทะเลจะถูกซัดเข้าหาฝั่ง ทะเลเป็นแหล่งรวมของแม่น้ำทุกสายจากภูเขา แม้ฝนจะตกกี่หมื่นกี่แสนห่า น้ำจืดจากแม่น้ำทุกสายจะไหลลงทะเล แต่นั่นไม่อาจจะทำให้ความเค็มของน้ำทะเลเจือจางลงไปเลยแม้แต่น้อย น้ำจืดเสียอีกที่จะถูกกลืนเป็นน้ำเค็ม

น้ำทะเล เกาะเต่า เกาะนางยวน รักษาโรคได้จริงหรือไม่?
ข้อนี้หลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล โดยส่วนตัวของผู้เขียนเองแล้วได้พิสูจน์โดยการนำสุนัขที่บ้านซึ่งเป็นโรคเรื้อนเรื้อรัง พาไปอาบน้ำทะเลฝั่งชุมพรอยู่ห่างจากบ้านผู้เขียนประมาณ 2 กิโลเมตร และหมั่นพาไปอาบอยู่หลายครั้ง ปรากฏผลที่น่ายินดีถึงสุนัขมีอาการดีขึ้น และหายเป็นปกติในช่วงระยะเวลาไม่ถึงเดือน หรือบางคนก็คิดว่าคงเป็นการรักษาโรคผิวหนังบางชนิดเท่านั้น แต่ในทางวิทยาศาสตร์แล้ว นักวิทยาศาสตร์ได้พบความจริงอันน่าทึ่งว่า น้ำทะเลมิใช่เพียงแต่รักษาโรคผิวหนังเท่านั้น แต่น้ำทะเลนั้นรักษาโรคอื่นได้อีกด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้สรุปไว้ว่า น้ำทะเลช่วยในการรักษาโรคผิวหนัง โรคเกี่ยวกับตับและกระดูกอ่อน โรคดังกล่าวนี้สามารถรักษาได้ด้วยน้ำทะเล แต่ว่าต้องเป็นน้ำทะเลที่อยู่ในเขตลึก 80 - 100 เมตร สำหรับโรคผิวหนัง อาจจะไม่จำเป็นต้องลึกขนาดนั้น ได้สอบถามนักท่องเที่ยว ที่มาดำน้ำลึก Scuba เขต เกาะเต่า เกาะนางยวน หลายคนทราบ และก็มีอีกหลายคนไม่ทราบว่าน้ำทะเล เกาะเต่า เกาะนางยวน รักษาโรคผิวหนังและโรคบางโรคได้จริง

ในส่วนที่เกี่ยวกับอากาศชายทะเล มนุษย์สามารถได้รับแสงแดดและโอโซนอันบริสุทธิ์ ช่วยให้ชีวิตสดชื่น เมื่อสูดอากาศริมทะเลเข้าไปในปอด ข้อนี้คงไม่แปลกอะไรที่นักท่องเที่ยวนิยมไปชายทะเล แม้แต่ชาวต่างประเทศ ก็ยังลงทุนเดินทางไปเที่ยวทะเล ทั้งที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมาย นั่นเป็นเพราะ… เขารู้ว่าประโยชน์จากทะเลมีคุณค่าแก่ชีวิตนั่นเอง


ฉลามวาฬ เป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก พบเห็นได้ที่ เกาะเต่าในบรรดาปลาในมหาสมุทร ปลาฉลามได้ชื่อว่าดุร้ายที่สุด สามารถฆ่าคนให้ตายและกลืนเป็นอาหารในพริบตา แต่ถ้าถามว่าปลาอะไรที่ตัวโตที่สุด ทุกคนคงจะตอบพร้อมกันว่า "ปลาวาฬ" เป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุด นั่นอาจจะจริง เพราะยังไม่มีปลาชนิดอื่นใหญ่เท่าปลาวาฬ อย่างไรก็ตามสถิติใหญ่ที่สุดของโลกนั้น ยังมีปลาอีกชนิดหนึ่ง มีขนาดใหญ่โตกว่าปลาวาฬทั่วไป เป็นปลาที่อยู่ในตระกูลเดียวกับปลาวาฬ และมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า ฉลามวาฬ (Whale Shark)

ปลาฉลามวาฬ จัดว่าเป็นปลาที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่เราไม่ค่อยจะได้พบปลาชนิดนี้บ่อยนัก มีผู้พบเห็นฉลามวาฬเข้ามาเกยตื้นอยู่ในอ่าวไทยให้เป็นข่าวไปทั่วโลกมาแล้ว

ปลาฉลามวาฬที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นปลาที่เคยติดโป๊ะบริเวณ เกาะจิก (Chick) ทางฝั่งทะเลด้านตะวันออกของอ่าวไทย เมื่อปี พ.ศ. 2462 ปลาฉลามวาฬตัวนี้ติดโป๊ะอยู่นานถึง 7 วัน ก่อนถูกยิงด้วยปืนไรเฟิลในช่วงเวลาถัดมา ขนาดความใหญ่โตของปลาฉลามวาฬ เป็นชื่อที่ผสมผสานระหว่างปลาฉลามกับปลาวาฬ และรูปร่างของปลาทั้งสองชนิดนี้มีลักษณะพันธุ์ทางที่คล้ายกัน คือ ปลาฉลามและปลาวาฬ ผิดกันก็ตรงที่ขนาดตัวของปลาวาฬใหญ่มหึมา โตกว่าปลาฉลามมากมาย ลักษณะตามตัวฉลามวาฬมีลายเป็นจุดขาวๆ แต้มทั่วตัว รูปร่างคล้ายกับปลาฉลามมากกว่าปลาวาฬ

ปลาฉลามวาฬเป็นปลาที่ไม่ค่อยจะได้พบเห็นจากที่ใดในโลกบ่อยนัก เพราะฉลามวาฬมักอาศัยอยู่ในทะเลลึก นานๆ จึงจะปรากฏตัวให้เห็นสักครั้ง จนบางครั้งรู้สึกว่า เป็นปลาที่สูญพันธุ์ไปแล้วในสายตาชาวโลก แต่สำหรับที่ เกาะเต่า แล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ โอกาสที่จะพบกับฉลามวาฬมีค่อนข้างสูงทีเดียว และทำให้ เกาะเต่า เป็นแม่เหล็กสำคัญในการดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ให้มาดำน้ำลึก Scuba ที่ เกาะเต่า ทำให้เกิดธุรกิจขั้นอุตสาหกรรมดำน้ำอย่างมากมาย และ เกาะเต่า จึงได้สร้างสิ่งดีๆ ประทับใจแก่ผู้มาเยือนเสมอ

นิสัยของปลาฉลามวาฬ ผิดกับปลาฉลาม คือ ฉลามวาฬเป็นปลาที่เชื่องช้า ไม่ดุร้ายเหมือนปลาฉลาม ชอบกินแพลงตอนเป็นอาหาร ชอบอาศัยอยู่ในแถบอบอุ่นของมหาสมุทรแอตแลนติค แปซิฟิค และมหาสมุทรอินเดีย

ถึงคำถามที่หลายคนสงสัยอยู่ประการหนึ่งว่า ถ้าคนเราเข้าไปอยู่ในท้องของปลาวาฬ จะตายหรือไม่? ด้วยการจำลองเหตุการณ์ดังกล่าวไปสร้างเป็นภาพยนต์การ์ตูนมากมายหลายเรื่อง และเกือบจะทุกเรื่อง สรุปให้คนรอดชีวิตจากเหตุการณ์ตกไปอยู่ในท้องของปลาวาฬเสมอ ซึ่งตามธรรมดาสามารถตอบได้เลยว่า คนที่เข้าไปอยู่ในท้องปลา จะไม่มีโอกาสรอดได้เลย แต่มีสิ่งที่น่าทึ่งถึงตัวอย่างเหตุการณ์ดังกล่าวที่ได้ถูกบันทึกไว้ในโลกว่า...

เมื่อเดือน กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1891 เจมส์ ปาร์ติเลย์ แห่งกลอสเซสเตอร์ เขาได้ทำการล่าปลาวาฬในภาคใต้ของแอตแลนติค ขณะที่ลงเรือเล็กยาวออกล่านั้น ปลาวาฬได้ใช้หางฟาดเรือขาด ตัวเขาได้หายไป และในคืนวันต่อมา ปลาวาฬตัวนั้นถูกล่าได้ และได้ผ่าท้องปลาวาฬตัวนั้น ปรากฏว่าพบร่างของ เจมส์ อยู่ในท้องของปลาวาฬ เขาสลบอยู่แต่ยังไม่ตาย


ปลาโอเชียนซันฟิช ยิงด้วยปืนไม่เข้าในบรรดาสัตว์โลกทั้งหลาย เราทราบดีว่า จระเข้หนังเหนียวมาก แต่กระนั้นหนังของมันไม่อาจต้านทานหัวกระสุนเหล็กกล้าของลูกปืนได้ เมื่อหันมาพิจารณาสัตว์น้ำจำพวกปลา ไม่ว่าปลาชนิดไหนแม้หนังเหนียวแต่ยิงเข้าทุกชนิด

มีปลาประหลาดอยู่ชนิดหนึ่ง รูปร่างคล้ายกับเครื่องโม่แป้งหรือคล้ายรูปไข่ ครีบบนและล่างตั้งตรงอยู่ส่วนท้ายของลำตัว หางกุด มองดูแล้วไม่เหมือนปลาทั่วไปในโลกเลย ปลาดังกล่าวนี้มีปากเล็กและมีชื่อว่า "ปลาโอเชียนซันฟิช"

ปลาโอเชียนซันฟิซ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า "โมลา" ตรงกับภาษาลาติน ซึ่งแปลว่า "หินที่ใช้โม่แป้ง" บางทีก็เรียกว่าปลาหัวโต หรือ เฮดฟิช ลักษณะลำตัวเป็นสีน้ำตาลอ่อน บ้างก็มีสีเทาค่อนไปทางสีฟ้า หรือสีเงินวาว มีฟันซี่เล็กๆ แหลมคม ครีบหลังและครีบหางค่อนข้างใหญ่

ปลาโอเชียนซันฟิช มีผู้พบเห็นอยู่ 2 ชนิด ชนิดแรกเรียกว่า "เอ็ม จานซีโอลาต้า" หางมีลักษณะคล้ายรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีความยาวของลำตัว 10 ฟุต หนัก 1 ตัน

ส่วนปลาโอเชียนซันฟิช ชนิดที่ 2 เรียกว่า "ลาซาเนีย ทรุนคาต้า" หางมีลักษณะเป็นขอบกลมๆ มีขนาดเล็กกว่าชนิดแรก

สำหรับปลาชนิดนี้ ยังมีอยู่อีกชนิดหนึ่ง มีความยาวประมาณ 2 ฟุต มีขนาดเล็กกว่าชนิดที่ 2 มักอยู่ในทะเลที่มีกระแสน้ำอุ่น หรืออุณหภูมิปกติ ปลาโอเชียนซันฟิช เป็นปลาที่สร้างความอัศจรรย์ใจแก่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกมาแล้ว พฤติกรรมหลากหลายล้วนน่าทึ่งเป็นอย่างยิ่ง มีผู้พบเห็นปลาโอเชียนซันฟิชลอยตัวอาบแดดบนผิวน้ำ มองดูแล้วเหมือนปลาตายลอยน้ำ หรืออีกประหนึ่งคล้ายกับปลากำลังจะตาย นักประดาน้ำเคยดำดิ่งลงไป ลึกประมาณ 50 ฟุต และได้พบปลาโอเชียนซันฟิช ราว 100 กว่าตัว ส่วนมากนัยตาหายไปและตายอยู่ใต้น้ำ นักสัตววิทยาชาวดัช 2 คน ค้นพบว่า ปลาโอเชียนซันฟิชนี้มีมากกว่า 57 ชนิด พบมากในฝั่งทะเลฮอลแลนด์ระหว่างปี ค.ศ. 1836 - 1939

ปลาโอเชียนซันฟิช มีชีวิตอยู่ได้ด้วยอาหารจำพวก หอย ปู กุ้ง ลูกปลาเล็กๆ และแมงกะพรุน ตัวเมียจะวางไข่ประมาณ 300 ล้านฟอง ตัวอ่อนยาวประมาณ 1/10 นิ้ว จะเปลี่ยนครีบและร่างเจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ กระดูกสันหลังจะแข็ง และยาวราว 5 นิ้ว ในระยะเวลา 15 วัน มีลำตัว 1/2 นิ้ว

อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจของปลาชนิดนี้ก็คือ เป็นปลาหนังเหนียวที่สุดในโลก หนังของปลาโอเชียนซันฟิชแข็งเหมือนหินสมกับชื่อดั้งเดิม "โมลา" ซึ่งแปลว่าหินจริงๆ มีผู้ทำการทดลองความเหนียวของปลาโอเชียนซันฟิช ด้วยวิธีการหลายอย่าง เช่น ใช้ฉมวกเหล็กกล้าปลายแหลมแทงขณะอยู่ในน้ำ แต่ปรากฏว่าปลาโอเชียนซันฟิชดำน้ำหนีไปได้อย่างรวดเร็ว เพียงแต่ส่งเสียงร้องออกทางจมูกและไรฟัน เสียงดังคล้ายเสียงหนูร้อง การทดลองครั้งสำคัญก็คือ ใช้ปืนที่มีอานุภาพในการทำลายสูง แต่ผลปรากฏลูกกระสุนปืนพุ่งแฉลบหนังออกไป ทำการทดลองอยู่หลายครั้งได้ผลเช่นเดิม ทำให้ทราบว่าลูกกระสุนปืนไม่สามารถเจาะผิวหนังของปลาโอเชียนซันฟิชได้เลย

ศัตรูที่ร้ายกาจของปลาโอเชียนซันฟิช คือ ปลาฉลาม แต่เขี้ยวเล็บอย่างฉลามก็ทำอะไรปลาโอเชียนซันฟิชไม่ได้เลย เมื่อเจอหนังเหนียวของปลามหาหิน ปลาที่ยิงด้วยปืนไม่เข้า เว้นเสียแต่ฉลามก็ฉลาดพอที่จะจู่โจมเข้าที่นัยตาของปลาโอเชียนซันฟิชอย่างจัง


ยูโตเปีย คืออะไร ?
เกาะเต่า มีรีสอร์ทอยู่แห่งหนึ่งชื่อ "
ยูโตเปีย สูท รีสอร์ท" เคยสงสัยถึงที่มาของชื่อนี้กันบ้างไหมว่า "ยูโตเปีย" มีที่มาอย่างไร

คำว่า ยูโตเปีย ( UTOPIA ) เป็นคำที่คู่กับคำว่า ยุคพระศรีอาริยเมตไตร ผู้ที่ให้กำเนิดคำๆ นี้ คือ โฮมัส โมร์ เขาเป็นขุนนางใหญ่ของอังกฤษ ในรัชสมัยพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 เกิดในปี ค.ศ. 1480 ถูกประหารชีวิตในปี ค.ศ. 1535 ฐานไม่ยอมรับนับถือว่าเฮนรี่มีอำนาจเป็นใหญ่ในทางศาสนา แต่ต่อมาในคริสตวรรษที่ 20 โป๊ปได้กระทำอภิเษกให้เป็นเซนต์

"ยูโตเปีย" เป็นภาพวาดสังคมสมมติที่ โฮมัส โมร์ ได้สร้างความคิดฝันขึ้น โดยสังคมสมมตินั้น มีเกาะหนึ่ง ชื่อ " UTO PIA ยูโตเปีย " สังคมดังกล่าวนี้ ทรัพย์สินทั้งหลายเป็นของสังคมทุกๆ คน ถือธรรมประจำใจว่า ต้องทำงานและเสียสละเพื่อส่วนรวม เป็นสังคมในความฝัน

ต่อมาคำๆ นี้ จึงมีผู้นำมาใช้เรียกกลุ่มหรือผู้ที่วาดภาพทางสังคม ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ทางสังคมว่า นักสังคมยูโตเปีย หรือคติที่เป็นไปในความฝัน ซึ่งไม่มีทางสำเร็จได้ จึงเรียก "ยูโตเปีย" อย่างไรก็ตามคำว่า "ยูโตเปีย" และความหมายของสังคมสมมตินี้ มีแนวคิดคล้ายคลึงกับ พุทธทำนาย ที่ปู่ย่าตายายเคยพูดสืบทอดต่อกันมาว่า ปลายพุทธศาสนานุกาล มนุษย์จะเข้าสู่มิคสัญญี เพราะศีลธรรมเสื่อมทรามลง จึงมีแต่รบราฆ่าฟันกัน เบียดเบียนกัน สิ่งมหัศจรรย์จะเกิดขึ้น ไฟบรรลัยกัลป์จะล้างโลกที่โสมม แล้วเกิดยุคใหม่คือ ยุคพระศรีอาริยเมตไตรก็จะอุบัติขึ้น แต่ละยุคนั้นมนุษยชาติจะอยู่ร่วมกันด้วยความเมตตาปราณีระหว่างกัน บุคคลเสมอเหมือนกัน ประดุจว่าเมื่อออกจากบ้านแล้ว ต่างก็สังเกตความผิดเพี้ยนระหว่างกันไม่ได้ ความสะดวกสบายในการคมนาคม และความอุดมสมบูรณ์ของปัจจัยหลั่งไหลเหลือคณานับ ประดุงว่ามีต้นกัลปพฤกษ์ทุกมุมเมือง ซึ่งมนุษย์จะถือเอาได้ตามต้องการ.

ที่มา : เกาะเต่าทูเดย์ (http://www.kohtaotoday.com/koh_tao_thai_language.html) สืบค้นเมื่อ 9 เม.ย.2552

1 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

กลับมาแล้วเพิ่งมาดู ค่ะ เดี๋ยวรอบหน้าไปใหม่ เพื่อเจอน้ำเชี่ยวในใต้ทะเลอีก จะต้องเอาชนะให้ได้