วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ปินส์พบฉลามวาฬเกยตื้นที่มะนิลา


ชาวประมงท้องถิ่นในฟิลิปปินส์ต่างประหลาดใจที่พบ ปลาฉลามวาฬ ลอยมาเกยตื้นที่อ่าวมะนิลาแบบไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งฉลามเคราะห์ร้ายได้เสียชีวิตลงหลังจากถูกนำขึ้นฝั่ง
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวันนี้ (28 ต.ค.2552) ชาวประมงในอ่าวมะนิลาพบฉลามวาฬขนาดความยาว 6.1 เมตร เมื่อเวลา 1.30 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) โดยฉลามยังคงมีชีวิต และขยับครีบได้ แต่เสียชีวิตลงหลังจากนำขึ้นฝั่งมาได้ 10 นาทีส่วนสาเหตุการเสียชีวิตของปลาฉลามยังไม่ปรากฏแน่ชัด หน่วยรักษาการณ์ชายฝั่งเล่าว่า ไม่พบร่องรอยการบาดเจ็บของฉลาม โดยมีแค่แผลที่หางเท่านั้นซึ่งน่าจะเกิดขึ้นจากเชือกที่ใช้ลากมันขึ้นมา


ที่มา : น.ส.พ.ไทยรัฐ http://www.thairath.co.th/content/oversea/42892
Read more >>

ส่ง ตย.ปลิงทะเลที่ประจวบฯ พิสูจน์แล้ว


ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเล คาดทากทะเลชนิดหนึ่ง อาศัยในทะเลอ่าวไทยตามแนวชายฝั่งทะเลที่เป็นโคลน ระบุเคยเกิดแบบนี้แล้วที่บางแสน...
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (28 ต.ค.) นายพิชัย ขุฑสมบูรณ์ นักวิชาการประมง ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนกลาง จังหวัดชุมพร พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยได้เดินทางไปที่ชายหาดทะเลหน้าอ่าวประจวบ เพื่อตรวจสภาพสัตว์ทะเลที่มีประชาชนพบแล้วไม่ทราบว่าเป็นสัตว์ชนิดใด
เมื่อมาถึงพบว่า มีสัตว์ทะเลตายอยู่บนชายฝั่งจำนวนมาก จึงได้เก็บตัวอย่างเพื่อนำไปตรวจสอบ ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ฯ คาดว่า เป็นทากทะเลชนิดหนึ่ง อาศัยอยู่ในทะเลอ่าวไทย ที่อยู่ตามแนวชายฝั่งทะเลที่เป็นโคลนผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า จากการตรวจสอบสภาพน้ำพบว่า มีสภาพปกติ จึงน่าจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงจากกระแสน้ำ ทำให้พัดพาเอาสัตว์ชนิดนี้เข้ามา โดยทากทะเลนี้ไม่เป็นอันตรายต่อชาวประมงและนักท่องเที่ยว จะได้นำตัวอย่างซากทากทะเลดังกล่าว และตัวอย่างน้ำทะเลที่เก็บได้หลายจุด ส่งศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนกลาง จังหวัดชุมพร เพื่อตรวจรายละเอียดเบื้องต้น จากนั้นจะคัดแยกส่วนหนึ่งนำส่งสถานีวิจัยจังหวัดภูเก็ต เพื่อยืนยันอย่างเป็นทางการว่าเป็นทากทะเลชนิดไหน
สำหรับเหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว 1 ครั้งที่ทะเลบางแสน ส่วนในพื้นที่อื่นยังไม่พบแต่อย่างใด


ที่มา : น.ส.พ.ไทยรัฐ http://www.thairath.co.th/content/region/43046
Read more >>

วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เรือนำเที่ยวล่มในอินเดียตายอย่างน้อย 32 คน


อินเดีย 1 ต.ค.2552 - มีรายงานผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 32 คน จากเหตุเรือนำเที่ยวอับปางกลางอ่างเก็บน้ำทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย เมื่อวานนี้

เรือนำเที่ยวลำดังกล่าว พร้อมผู้โดยสาร 76 คน อับปางลงกลางอ่างเก็บน้ำเทคคาดี้ ไทเกอร์ สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังในรัฐเกรละ ทางตอนใต้ของกรุงนิวเดลี หลังจากที่นักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งวิ่งไปรวมตัวกันยังด้านหนึ่งของเรือ เพื่อดูกลุ่มช้างป่าที่อยู่ริมฝั่งอ่างเก็บน้ำ ทำให้เรือเอียงและจมลงอย่างรวดเร็ว
ล่าสุดหน่วยกู้ภัยพบร่างผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 32 คน ในจำนวนนี้ 2 คน เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ และยังมีผู้สูญหายอีกกว่า 20 คน ส่วนนักท่องเที่ยวที่เหลือได้รับการช่วยเหลือขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย
ขณะที่มีรายงานว่า เกิดเหตุเรือล่มอีก 2 จุด ในรัฐพิหาร เมื่อวันจันทร์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 56 คน.
ที่มา : สำนักข่าวไทย


บทเรียนนี้สอนอะไรบ้าง
1. ผู้ดูแลบนเรือ ก่อนที่จะออกเดินทางต้องชี้แจงให้นักท่องเที่ยวระมัดระวังเรื่องการเฉลี่ยน้ำหนักทั้งสองกาบเรือให้ใกล้เคียงกัน
2. นักท่องเที่ยว ควรที่จะใส่ชูชีพเสมอ...เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกเวลา


Read more >>

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552

พระราชดำรัสเกี่ยวกับ "ปะการังเทียม"


เมื่อเวลา 16.45 น. วันที่ 11 ส.ค.52 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินไปยังศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ และ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอาทิตยาทรกิติคุณ พระราชทานพระราชวโรกาสให้คณะบุคคลต่างๆ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา


ในกระแสพระราชดำรัสตอบ มีความตอนหนึ่งเกี่ยวกับปะการังเทียม ดังนี้


ต่อไปจะขอเล่าเรื่องแนวปะการังเทียมที่ อ.ไม้แก่น จ.ปัตตานี ชาวประมงบ้านละเวง อ.ไม้แก่น จ.ปัตตานี มาหาข้าพเจ้าแล้วขอร้องให้ช่วยเหลือ เพราะเขามีอาชีพอยู่อย่างเดียวคือออกเรือไป เป็นเรื่องเล็กๆ เพราะเป็นคนจนมาก ออกเรือก็ไปตกปลา จับปลาได้ก็มาขายได้เงินเลี้ยงชีพ และปลาที่เหลือก็รับประทาน ที่นี่เรื่องปลาในเขตน้ำตื้นร่อยหรอจนแทบไม่มีเหลือแล้ว ข้าพเจ้าเองก็จนปัญญาก็ปรึกษากันกับผู้เชียวชาญต่างๆ ก็ได้รับคำแนะนำว่าให้ลองทดลองสร้างแนวประการังเทียมขึ้น อันนี้เป็นความคิดที่เรียกว่าข้าพเจ้าไม่เคยรู้มาก่อนเลย ก็ได้อาศัยราษฎรเนี่ย ได้รับความรู้ต่างๆ ขึ้นมา ให้สร้างประการังเทียมขึ้นเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ
ข้าพเจ้าก็ได้เปิดโครงการฟื้นฟูทรัพยากรชายฝั่งทะเลขึ้นใน พ.ศ.2544 ที่จ.นราธิวาส มีหน่วยงานหลายหน่วยงานเข้ามาช่วยเหลือสนับสนุนโครงการนี้ เป็นโครงการที่น่าชุ่มชื่นใจ เพราะว่าเป็นการยกระดับชีวิตของคนที่ยากจน ไม่แทบว่าจะไม่มีหวัง ยากจนยากจน ผู้ที่สนับสนุนโครงการนี้ เช่น กรมประมง กองทัพเรือ การรถไฟแห่งประเทศไทย กรมทางหลวง อย่างการรถไฟแห่งประเทศไทยบริจาคตู้รถไฟที่ชำรุด ข้าพเจ้าเห็นก็งงว่า เอะไอ้ตู้รถไฟมันจะมาทำช่วยให้ปลาชื่นชมได้ยังไง ก็งง ตอนนั้นไม่มีความรู้อะไรทั้งสิ้น การรถไฟบริจาคตู้รถไฟที่ชำรุด กรมทางหลวงก็บริจาคท่อคอนกรีต เป็นต้น
ต่อมากรุงเทพมหานคร ก็ยังช่วยบริจาครถขนขยะที่ชำรุดอีกด้วย นี่ข้าพเจ้าได้เรียนเป็นพระราชินีไม่รู้เรื่องอะไรเลย ได้เรียนจากความต้องการของประชาชนและได้เรียนที่ท่านทั้งหลายช่วยกันแก้ไขปัญหาเหล่านี้ และก็ทิ้งลงไปในทะเล ที่เขากะแล้วว่าที่ตรงนี้ทิ้งได้ประการังเทียม แล้วทางกองทัพเรื่องก็ไปถ่ายหนังมาให้ข้าพเจ้าดู โอ้โหตกใจพอเราทิ้งอะไรต่ออะไรต่างๆ ลงไป ปลามันก็ขนโขยงมากันใหญ่ มันนึกว่าแหมนี่มีบ้านที่ดีของเราแล้ว มันมากันเป็นแถวเชียว ถ้าเขาไม่ไปถ่ายหนังให้ดูก็ไม่รู้ แหมมามากมายก่ายกอง ซึ่งประชาชนมาบอกข้าพเจ้าว่าจับปลาได้สบาย จับปลาได้ดีเลยตอนนี้ มันมากันเป็นแถว ปลาต่างๆ ที่หายากก็เข้ามา ถ้าทิ้งลึกลงไปปลาใหญ่ๆ เมื่อไม่นานนี้ข้าพเจ้าได้รับรายงานว่าเขาได้ถ่ายหนังภาพของฝูงปลานานาชนิดเข้ามาอาศัยอยู่ในแนวประการังเทียม แม้แต่ปลาที่หายากที่สุด กรมประมงบอกว่าหายากแทบไม่ได้เห็นเนี่ย คือปลาหมอทะเลตัวใหญ่เบ้อเร้อเชียวขนาด 2-3 เมตร ก็เข้ามาหาที่อยู่ที่นี่ ข้าพเจ้าได้ยินก็มหัศจรรย์ใจ ไม่เคย เป็นความรู้ใหม่ทั้งนั้นเลย ปลาจารเม็ดสีเทาซึ่งแต่ก่อนก็ไม่มีแล้ว ปลาช่อนทะเล ปลากุเลาก็เข้ามาได้
ชาวประมงพื้นบ้านก็เข้ามาหา ข้าพเจ้าบอก แหมดีท่าน เดี๋ยวนี้พวกเราไม่ต้องออกไปไกลก็จับปลาได้มากขึ้น จากแทบว่าไม่มีรายได้ กลับมามีรายได้เพิ่มขึ้น ถึงเดือนละ 1 หมื่นกว่าบาทแน่ะ ชาวบ้านยากจนเหลือเกิน แปลว่าคนที่มีความรู้ของเรา ของประเทศไทยเรามีมากและก็พร้อมเสมอที่จะช่วยชาติบ้านเมือง ปีนี้กรมประมงพื้นบ้านตั้งแต่ปัตตานีจนถึงนราธิวาสหลายร้อยคน เขียนจดหมายถึงข้าพเจ้าแล้วก็เซ็นชื่อเป็นบัญชีหางว่าวเลย ขอให้ข้าพเจ้าช่วยจัดทำปะการังเทียมเพิ่มเติมขึ้นอีก แล้วตอนนี้ใครจะช่วยข้าพเจ้าหล่ะ ตอนนี้จะเอาอะไรไปทิ้งให้ปลามันอยู่
ข้าพเจ้าจึงนำมาเล่าให้ท่านทั้งหลายฟังว่าปะการังเทียมนั้น ใช้ได้ผลจริงๆ น่าภูมิใจแทนหน่วยงานทั้งหลายที่ช่วยเหลือประชาชนประสบผลสำเร็จ และข้าพเจ้าก็เลยขอถือโอกาสนี้ ส่งข่าวถึงกลุ่มประมงพื้นบ้าน ที่เขาเขียนจดหมายมาถึงข้าพเจ้า ขอปะการังเทียมเพิ่มด้วยว่า ข้าพเจ้าจะพยายามขอร้อง ขอให้ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และทุกแห่ง ช่วยกันประสานงาน เชื่อว่าอีกไม่นานเกินรอก็คงจะเริ่มจัดสร้างพื้นที่บริเวณปะการังเทียมได้อีก เพื่อประชาชนจะได้ไปตกปลา ไปทำมาหากินได้เพิ่มนะคะ ท่านนายกฯ
Read more >>

วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

กิจกรรมการปลูกปะการัง วันทหารนาวิกโยธิน

เรียน พันเอกพิเศษ สุชาต จันทรวงศ์

เรื่อง กิจกรรมการปลูกปะการัง วันทหารนาวิกโยธิน

ทางบริษัท บางกอกกล๊าส จำกัด ต้องขอบคุณเป็นอย่างสูงที่ได้รับการสนับสนุนนักประดาน้ำที่มาร่วมกิจกรรมการอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อมทางทะเล บริษัท บางกอกกล๊าส จำกัด ได้ดำเนินกิจกรรมทางด้านสิ่งแวดล้อมในเรื่องการรณรงค์รีไซเคิลแก้วมากว่า 16 ปีเพื่อร่วมในการพัฒนาคุณภาพ และส่งเสริมให้เยาวชนได้มีกิจกรรมการรีไซเคิลขวดแก้ว กับบางกอกกล๊าส เพื่อเป็นการปลูกจิตสำนึกและขยายผลไปยังสิ่งแวดล้อมทางทะเลที่มีปัญหาเรื่องขยะที่มีอยู่ในท้องทะเลอยู่มากมาย ซึ่งทางบริษัท มองเห็นถึงความสำคัญนี้จึงจัดให้
มีกิจกรรมร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่น เช่น เทศบาลตำบลสุนทรภู่ และเยาวชน ประชาชน ร่วมกันรณรงค์สร้างจิตสำนึกให้กับคนในท้องถิ่น นักท่องเที่ยว เพื่อร่วมกันดูแลแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล อันความสวยงามทางธรรมชาติอันล้ำค่า และได้จัดให้มีกิจกกรมกับทางทะเลที่หาดแม่พิมพ์มาอย่างต่อเนื่อง 2 ปี ทั้งส่งทีมโครงการรณรงค์หมุนเวียนการใช้เศษแก้ว เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ทางด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การรณรงค์ รับขวดแก้วมารีไซเคิลจากองค์กรต่างๆ การจัดกิจกรรมให้ความรู้กับนักเรียนตามโรงเรียน และสถาบันการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย หน่วยงานเอกชน และภาครัฐ ตะหนักถึงการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า การร่วมกิจกรรมทางด้านเก็บขยะใต้ทะเล การปลูกปะการัง อันเป็นความตั้งใจเพื่อร่วมในการพัฒนาสิ่งแวดล้อมของประเทศที่บริษัท บางกอกกล๊าส จำกัด นั้นพึงกระทำได้ และมิได้เข้าไปแสวงหาผลประโยชน์แต่อย่างได้ โครงการรณรงค์หมุนเวียนการใช้เศษแก้วมีเป้าหมายในการประชาสัมพันธ์ประโยชน์ของการนำขวดแก้วกลับมาใช้ใหม่และการนำกลับมาหมุนเวียนใช้ซ้ำนั้นคุณภาพคงเดิม 100% ไม่จำกัดจำนวนครั้ง เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อให้ท่านได้ทราบในจุดมุ่งหมายที่ทางบริษัทพึงมีต่อสังคมละสิ่งแวดล้อม และความร่วมมือในกิจกรรมเพื่อการพัฒนาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศทั้งปัจจุบันและในอนาคต

ขอแสดงความนับถือเป็นอย่างสูง

นายสยาม เศรษฐบุตร

ผู้จัดการสำนักกรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกกล๊าส จำกัด





















Read more >>

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2552

World Ocean Conference 2009 (WOC 2009) หาแนวทางบริหารจัดการมหาสมุทร จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ


นายสำราญ รักชาติ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง นำคณะผู้แทนไทย เป็นตัวแทนประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่จากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมทรัพยากรธรณี กรมอุตุนิยมวิทยา สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศประจำกรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารเรือ ประจำสถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย เข้าร่วมการประชุม World Ocean Conference 2009 (WOC 2009) ณ เมืองมานาโด จังหวัดสุลาเวสีเหนือ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ 11 – 15 พฤษภาคม 2552
การประชุมดังกล่าว ประกอบด้วย การประชุมที่สำคัญ คือ การประชุมระดับรัฐมนตรี/เจ้าหน้าที่อาวุโส เพื่อแสวงหาเจตนารมณ์ทางการเมืองในการบริหารจัดการมหาสมุทรในบริบทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และผลของการประชุมจะปรากฏเป็น Manado Ocean Declaration , การประชุม Global Ocean Policy day , การประชุม Coral Triangle Initiative (CTI) Summit และ การประชุมวิชาการ ในเรื่องเกี่ยวกับสมุทรศาสตร์ เทคโนโลยี และนโยบาย
โดยการประชุมระดับรัฐมนตรี/เจ้าหน้าที่อาวุโส เป็นการประชุมระดับรัฐมนตรี/ เจ้าหน้าที่อาวุโส จัดขึ้นเพื่อแสวงหาเจตนารมณ์ทางการเมืองในการบริหารจัดการมหาสมุทรในบริบทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยการประชุมดังกล่าว H.E. Dr. Susilo Bambang Yudhoyono ประธานาธิบดีสาธารณรัฐอินโดนีเซีย เป็นประธานในพิธีเปิด มีผู้แทนเข้าร่วมประชุม 577 คน จาก 72 ประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศ 12 องค์กร รวมทั้ง ธนาคารโลก และธนาคาร เพื่อการพัฒนาเอเซีย (ADB)
การประชุมในครั้งนี้ ได้มีการพิจารณาประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับมหาสมุทรและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหลายเรื่อง อาทิ มหาสมุทรและชายฝั่งกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยเฉพาะที่มีต่อชุมชนชายฝั่ง บทบาทของมหาสมุทรในการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การปรับตัวและลดผลกระทบ การเตรียมความพร้อมของชุมชนชายฝั่งเพื่อปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น
สาระสำคัญของการประชุมในครั้งนี้คือ ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบและรับรองปฏิญญา Manado Ocean Declaration ซึ่งแสดงเจตนารมย์ทางการเมืองที่ประเทศต่างๆ จะร่วมมือกันในการบริหารจัดการมหาสมุทรในบริบทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเนื้อหากล่าวถึงความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ระหว่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและมหาสมุทร รวมถึงแนวทางแก้ไข (การปรับตัวและลดผลกระทบ) เพื่อจัดการกับผลกระทบในปัจจุบันและที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยมีแนวทางที่จะนำไปสู่การปฏิบัติ ในรูปของโอกาสความร่วมมือระหว่างประเทศที่จำเป็น ได้แก่ การวิจัย การแลกเปลี่ยนข้อมูล การเสริมสร้างศักยภาพ การถ่ายโอนความรู้และเทคโนโลยี การสนับสนุนทางการเงิน และอื่นๆ
Manado Ocean Declaration มีเจตนารมย์ทางการเมืองซึ่งคาดหวังที่จะนำไปสู่การพิจารณาในที่ประชุม Climate Conference ของ UNFCCC ที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ในเดือนธันวาคม 2552 เพื่อให้โลกเห็นความสำคัญของทะเลและมหาสมุทรที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ซึ่งที่ผ่านมามักเน้นแต่เรื่องบนแผ่นดิน และมุ่งหวังให้ที่ประชุมเห็นความสำคัญ และมีมาตรการแนวทางการบริหารจัดการมหาสมุทรในบริบทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการจัดทำยุทธศาสตร์ในการนำทรัพยากรทางทะเลมาใช้อย่างชาญฉลาดเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ
สำหรับการประชุม Global Ocean Policy Day ได้มีการระดมความคิดเห็นจากนักวิชาการและองค์กรต่างๆ พิจารณาให้ความเห็นเรื่องบทบาทของมหาสมุทรกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก โดยเฉพาะในเรื่องการปรับตัวและลดผลกระทบ เช่น การดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ พลังงานสะอาดที่ได้จากคลื่น ลม กระแสน้ำ ผลกระทบต่อชุมชนชายฝั่ง การเสื่อมโทรมของชายฝั่งทะเล มลพิษทางทะเล และการจับปลาที่มากเกินควร
การประชุม Coral Triangle Initiative (CTI) ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือ 6 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ติมอร์เลสเต้ ปาปัวนิวกินี และหมู่เกาะโซโลมอน ที่ประกอบด้วย แนวปะการังที่มีพื้นที่ 75,000 ตารางกิโลเมตร มีจำนวนชนิดปะการังถึง 76% และชนิดปลาในแนวปะการังถึง 37% ของโลก โดยมีประเทศสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลียและองค์กรระหว่างประเทศ รวมทั้งธนาคารพัฒนาเอเซีย (ADB) และกองทุนสนับสนุนสิ่งแวดล้อมโลก (GEF) ให้การสนับสนุน เพื่อการอนุรักษ์และการบริหารจัดการแนวปะการัง ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน สำหรับประชากรร่วมกันทั้ง 6 ประเทศ 120 ล้านคน
สำหรับการประชุมวิชาการ ในเรื่องเกี่ยวกับสมุทรศาสตร์และทคโนโลยีนั้น ได้มีการรายงานด้วยว่า 90% ของมลพิษในทะเลและมหาสมุทรมาจากบนบก คาร์บอนไดออกไซด์ที่มนุษย์สร้าง 25% ได้ลงไปสู่ทะเลและมหาสมุทร และยังมีการทำนายด้วยว่า ในปี คศ. 2099 มีการคาดการณ์กันว่าระดับน้ำทะเลเฉลี่ยจะสูงขึ้นถึง 59 เซนติเมตร ซึ่งย่อมจะมีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมอย่างมากแน่นอน
ที่มา : ข่าวมกลุ่มสื่อสารองค์กร กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โทรศัพท์/โทรสาร ๐ – ๒๒๙๘ – ๒๐๒๐
Read more >>

ค้นพบประการังแห่งใหม่ เขาหลัก พังงา 2.7 กิโลเมตร

พบแนวปะการังใหม่ชายฝั่งเขาหลัก พังงา ยาวถึง 2.7 กิโลเมตร เผยมีความสมบูรณ์และยังไม่เคยถูกค้นพบมาก่อน
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ว่า นายทรงพล ทิพยวงศ์ ผู้จัดการโครงการทรัพยากรทางทะเลชายฝั่งของดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ ประเทศไทย ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทีมนักประดาน้ำของดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ ได้พบแนวปะการังที่ยังสมบูรณ์อยู่และยังไม่เคยถูกค้นพบมาก่อน อีกทั้งยังเต็มไปด้วยฝูงปลา โดยแนวปะการังใหม่นี้กินเนื้อที่มากถึงราว 2.7 ตารางกิโลเมตร อยู่บริเวณนอกชายฝั่งเขาหลัก จ.พังงา แหล่งท่องเที่ยวบริเวณชายฝั่งทะเลอันดามันซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยว อันเป็นพื้นที่ซึ่งเคยประสบมหันตภัยคลื่นยักษ์สึนามิ
นายทรงพลกล่าวว่า ทีมประดาน้ำของดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟได้ข้อมูลจากชาวประมงในท้องถิ่นซึ่งนำไปสู่การค้นพบแนวปะการังใหม่นี้ และเชื่อว่าการพูดคุยกับชาวประมงจะช่วยนำไปสู่การค้นพบแนวปะการังที่สำคัญเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นแนวปะการังที่ยังไม่มีอยู่ในแผนที่หรืออยู่ภายใต้ความคุ้มครองของทางการ โดยแนวปะการังแนวนี้อยู่ไม่ไกลจากเขาหลัก และหากมีการดูแลอย่างถูกต้องก็จะกลายเป็นแหล่งดำน้ำที่มีชื่อเสียง ซึ่งจะทำให้เกิดการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนในท้องถิ่นต่อไป
ดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟระบุว่า ขณะนี้กำลังประสานงานอย่างใกล้ชิด กับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช, ชุมชนในท้องถิ่น และผู้ประกอบการดำน้ำ เพื่อให้แน่ใจว่าแนวปะการังนี้จะได้รับการบริหารจัดการอย่างเหมาะสม ซึ่งอาจจะนำไปสู่การยกย่องให้เป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลแห่งใหม่ของไทย
ข่าวระบุว่า การค้นพบแนวปะการังที่สมบูรณ์บริเวณชายฝั่งเขาหลักถือว่าเป็นข่าวดีอย่างยิ่ง เนื่องจากหลังเกิดเหตุคลื่นยักษ์สึนามิถล่มตามแนวชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียเมื่อเดือนธันวาคม 2547 แนวปะการังได้ถูกทำลายอย่างหนัก ขณะที่สหประชาชาติ (ยูเอ็น) รายงานเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาว่า หินปะการังเกือบ 1 ใน 3 ของที่มีอยู่บนโลกได้ถูกทำลายลง และคาดว่าภายในปี 2573 หินปะการังจะถูกทำลายไป 60 เปอร์เซ็นต์
ที่มา : http://www.moohin.com/066/pararungnew.shtml

Read more >>

วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ไม่ควรให้อาหารปลาในทะเล

มีเพื่อนๆ นักดำน้ำส่งบทความนี้มาให้ เลยขออนุญาต เอามาลงไว้ในบล็อกเพื่อเป็นความรู้สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไปต่อไป



ปลาที่มากินขนมปัง ส่วนมากจะเป็น ปลาหน้าด้าน คือ มาจากไหนไม่รู้ แล้วก็มากันเยอะขึ้น ๆ เรื่อย ๆ มารอแต่อาหารปลา แล้วยังเป็นอันธพาลอีกด้วย


ส่วนปลาขี้อายที่เป็นเจ้าถิ่นเดิม ก็จะโดนปลาหน้าด้านไล่ไปหมด ทำให้ระบบนิเวศน์ตรงนั้นไม่สมดุลย์ค่ะ น่าจะประมาณนี้นะคะ ( เคยอ่านที่ อ.ธรณ์ บอกไว้ค่ะ) ปล. ศัพท์หน้าด้าน อาจจะไม่ค่อยสุภาพขอโทษด้วยนะคะ แต่แบบเห็นภาพชัดดีค่ะ


การที่เราให้อาหารปลาจะทำให้ปลาหลายชนิดเข้ามากินอาหารที่นั่นครับ ถ้าเราให้อาหารในบริเวณนั้นบ่อย ๆ ปลาก็จะมาอาศัยในบริเวณนั้นกันมากขึ้น โดยเฉพาะเจ้าตัวร้ายที่เราเห็นในรูป .. มันคือปลาสลิดหินบั้งเขียวเหลืองครับ ... อันธพาลประจำแนวปะการัง ที่เรียกแบบนี้ก็เพราะว่า ปกติหน้าที่ของปลาชนิดนี้ จะหากินตามแนวปะการัง และคอยทำความสะอาดไม่ไห้มีสิ่งอุดตัน ปะการังก็จะหายใจ และสร้างอาหาร ได้อย่างสบาย แต่เมื่อมีคนเอาอาหาร หรือขนมปังไปให้ มันก็จะ ขี้เกียจรอแต่อาหารที่คนเอามาให้ และที่สำคัญค่ะ เมื่อรู้ว่าบริเวณนั้นมีแหล่งอาหาร ที่มันไม่ต้องออกแรงหากินเอง มันก็จะรวมตัวกัน แล้วทำตัวเป็นอันธพาลไล่สิ่งมีชีวิต ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นออกไป เพื่อจะได้ไม่แย่งแหล่งอาหารของมัน สุดท้ายไม่มีใครทำหน้าที่ทำความสะอาดปะการัง เมื่อมีสิ่งอุดตันปะการังมากๆ ปะการังก็จะตายค่ะ


ใครที่เคยให้อาหารปลาตามแนวปะการัง ต้องเคยเห็นแน่นอนครับ เพราะคุณจะเห็นแต่ ปลาชนิดนี้อย่างเดียวเท่านั้น โดยไม่เห็นปลาชนิดอื่น ๆ เลย เนื่องจากปลาในตระกูลสลิดหินถึงจะเป็นปลาเล็ก แต่ดุร้ายและหวงถิ่นครับ ตัวเราเองไม่รู้หรอกครับ เพราะความที่มันตัวเล็ก ถึงกัดเราอย่างไรก็ไม่เจ็บ บางทีกลายเป็นว่าดูน่ารัก ... มาตอดเราด้วย แต่กับปลาด้วยกัน การโดนรุมกัดหาง กัดครีบ ก็น่ากลัวอยู่ครับ เจ้าสลิดหินพอไปอยู่ที่ไหน มันก็จะไล่ปลาอื่น ๆ ออกจากบริเวณนั้นครับ ปลาที่ควรจะอยู่ในระบบนิเวศน์ของที่นั้น ก็เลยต้องหนีออกไป สมดุลย์ของระบบนิเวศน์ก็จะถูกทำลาย
สุดท้ายระบบนิเวศน์หรือแนวปะการังแถบนั้นก็จะล่มสลาย เหลือแต่เพียงปลาสลิดหินจำนวนมากมารอรับอาหารจากนักท่องเที่ยวเท่านั้น
ถ้าไม่เข้าใจก็ลองคิดถึงห่วงโซ่อาหารนะครับ ไม่มีหญ้า ก็จะไม่มีกระต่าย พอไม่มีกระต่ายก็ไม่มีเสือ ทุกอย่างผูกพันกันหมดครับ
นอกจากนี้แล้ว ที่ ๆ ปลาสลิดหินควรจะอยู่ ก็กลับไม่มีปลาสลิดหินอยู่ ก็อาจจะทำให้ระบบนิเวศน์ล่มสลาย เช่นกัน
อยากรู้เพิ่มเติมก็ตามไปอ่านบทบาทของปลาสลิดหินกันต่อที่นี่นะครับ http://www.ezytrip.com/webboard/show.php?id=1587&pages=1#19
น่าเสียดายครับ ที่ข้อมูลอย่างนี้ ไม่ค่อยมีใครรู้อย่าว่าแต่นักท่องเที่ยวเลยครับ ไกด์ส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ ทะเลไทยก็เลยเละลงทุก ๆ วัน ยังไงล่ะครับ ยังไงก็ช่วย ๆ กันคนละไม้ละมือนะครับ บอก ๆ ต่อกันไปเรื่อย ๆ นะครับ
ส่วนตัวผมเอง เวลาทำทัวร์ทะเล ก็ต้องจัดอบรมสต๊าฟใหม่กันเลยครับ และเรื่องนี้ถือเป็นข้อมูลบังคับที่ไกด์ต้องพูดสำหรับทุก ๆ ทริปทะเลด้วย
จากคุณ : ตะลอนมาสเตอร์
สัตว์น้ำในทะเลทุกตัวหากินด้วยตัวเองและมีระบบเกื้อกูลกับปะการังโดยธรรมชาติ การให้อาหารปลาจะทำลายระบบนิเวศน์ ปลาที่เคยทำความสอาดปะการังและหากินกับปะการังก็จะเสียนิสัยและคอยรออาหารจากนักท่องเที่ยว เมื่อได้กินเป็นประจำก็จะเลิกทำมาหากิน รวมตัวกันเป็นกลุ่มและจะคอบขับไล่ปลาชนิดอื่นๆ จึงเห็นได้ว่าในทะเลทั้งด้านอันดามันและอ่าวไทยที่ไม่มีการควบคุมเรื่องนี้ จะมีบริษัททัวร์หลายทัวร์ใช้การให้อาหารปลาเป็นจุดขาย นักท่องเที่ยวที่เป็นขาจรจะตื่นเต้นที่เห็นปลาแห่กันมากันเป็นฝูง แต่บริษัททัวร์กำลังทุบหม้อข้าวตัวเองเพราะทุกวันนี้ในทะเลที่ทัวร์พาไปดำน้ำตื้นจะเห็นแต่ปลาสลิดหินเหลืองลายและปลานกแก้วเท่านั้น คนรักการดำน้ำจะเสทือนใจและหงุดหงิดมากๆ
จากคุณ : ป้านิด
Read more >>

วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2552

พบโลมาสีชมพู

มีศิษย์ดำน้ำได้ Forward Mail มาให้ว่า พบโลมาสีชมพูที่ USA เห็นว่ามีประโยชน์ จึงขออนุญาตนำข้อมูลว่าไว้ใน Blog นี้ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน..





ฮือฮา! โลมาสีชมพู โผล่ทะเลสาบสหรัฐ

เดลี่เมล์รายงานวันที่ 3 มี.ค. ว่า มีผู้จับภาพลูกโลมาปากขวดสีชมพูได้ ซึ่งไม่เคยพบเห็นมาก่อน ในทะเลสาบน้ำเค็มในรัฐหลุยเซียนา สหรัฐอเมริกา อยู่ทางเหนือของอ่าวเม็กซิโก นายเอริก รู วัย 42 ปี ผู้บันทึกภาพได้ เล่าว่า ตอนแรกสะดุดตากับดวงตาของโลมาตัวนี้ก่อน เพราะเป็นสีแดง ว่ายมากับโลมาอื่นๆ อีก 4 ตัว ตัวหนึ่งเหมือนจะเป็นแม่ของมันที่ว่ายน้ำอยู่ไม่ห่าง เมื่อจ้องมองมันนานขึ้น ยิ่งสังเกตว่า สีของมันสว่างกว่าตัวอื่น กระทั่งเมื่อเห็นชัดๆ จึงเห็นว่าเป็นสีชมพู น่าตื่นตาตื่นใจมาก เหมือนกับโผล่มาจากตู้ย้อมสี เป็นสีชมพูตั้งแต่หัวจรดหาง การที่มันมีดวงตาสีแดง เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเป็นภาวะผิวเผือก ส่วนสุขภาพของมันดูแข็งแรงดี

"ผมรู้สึกว่าโชคดีมากๆ ที่ได้เห็นโลมาตัวนี้ และโชคดีที่ได้ทำงานวิจัยโลมาแถวนี้ เพราะมัก ได้เห็นสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์บ่อยๆ" เอริก กล่าว





Read more >>

วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2552

สิ่งมหัศจรรย์เกาะเต่า


น้ำทะเล เกาะเต่า เกาะนางยวน รักษาโรคได้
"ทะเล" เป็นส่วนหนึ่งของโลกเช่นเดียวกับแผ่นดิน เนื้อที่ 3 ใน 4 ส่วนของโลกเป็นทะเล และเป็นแผ่นดินเพียง 1 ส่วน ทฤษฎีไหลเลื่อนของโลกทำให้แผ่นดินแยกออกจากกัน กลายเป็นแผ่นดินของทวีปต่างๆ หลายคนไม่อยากเดินทางไกลโดยข้ามน้ำข้ามทะเล เพราะทะเลเวิ้งว้างน่ากลัว แต่ทะเลก็เป็นอาณาจักรแห่งทรัพยากรธรรมชาติอันมากมายมหาศาล

ทะเลเป็นแหล่งของปลาที่ใหญ่ที่สุด และมีปลามากที่สุด มนุษย์ได้อาหารจากทะเล ได้น้ำมัน ได้แก๊สธรรมชาติ รวมทั้งสิ่งมีค่าอื่นๆ อีกมากมายเหลือคณานับ น้ำทะเลเค็ม และความเค็มของน้ำทะเลก็ไม่มีอะไรจะมาทำให้ทะเลลดความเค็มลงไปได้ ทะเลไม่เคยมีอะไรทำให้เน่าหรือเสีย แม้ขยะที่ลอยอยู่ในทะเลจะถูกซัดเข้าหาฝั่ง ทะเลเป็นแหล่งรวมของแม่น้ำทุกสายจากภูเขา แม้ฝนจะตกกี่หมื่นกี่แสนห่า น้ำจืดจากแม่น้ำทุกสายจะไหลลงทะเล แต่นั่นไม่อาจจะทำให้ความเค็มของน้ำทะเลเจือจางลงไปเลยแม้แต่น้อย น้ำจืดเสียอีกที่จะถูกกลืนเป็นน้ำเค็ม

น้ำทะเล เกาะเต่า เกาะนางยวน รักษาโรคได้จริงหรือไม่?
ข้อนี้หลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล โดยส่วนตัวของผู้เขียนเองแล้วได้พิสูจน์โดยการนำสุนัขที่บ้านซึ่งเป็นโรคเรื้อนเรื้อรัง พาไปอาบน้ำทะเลฝั่งชุมพรอยู่ห่างจากบ้านผู้เขียนประมาณ 2 กิโลเมตร และหมั่นพาไปอาบอยู่หลายครั้ง ปรากฏผลที่น่ายินดีถึงสุนัขมีอาการดีขึ้น และหายเป็นปกติในช่วงระยะเวลาไม่ถึงเดือน หรือบางคนก็คิดว่าคงเป็นการรักษาโรคผิวหนังบางชนิดเท่านั้น แต่ในทางวิทยาศาสตร์แล้ว นักวิทยาศาสตร์ได้พบความจริงอันน่าทึ่งว่า น้ำทะเลมิใช่เพียงแต่รักษาโรคผิวหนังเท่านั้น แต่น้ำทะเลนั้นรักษาโรคอื่นได้อีกด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้สรุปไว้ว่า น้ำทะเลช่วยในการรักษาโรคผิวหนัง โรคเกี่ยวกับตับและกระดูกอ่อน โรคดังกล่าวนี้สามารถรักษาได้ด้วยน้ำทะเล แต่ว่าต้องเป็นน้ำทะเลที่อยู่ในเขตลึก 80 - 100 เมตร สำหรับโรคผิวหนัง อาจจะไม่จำเป็นต้องลึกขนาดนั้น ได้สอบถามนักท่องเที่ยว ที่มาดำน้ำลึก Scuba เขต เกาะเต่า เกาะนางยวน หลายคนทราบ และก็มีอีกหลายคนไม่ทราบว่าน้ำทะเล เกาะเต่า เกาะนางยวน รักษาโรคผิวหนังและโรคบางโรคได้จริง

ในส่วนที่เกี่ยวกับอากาศชายทะเล มนุษย์สามารถได้รับแสงแดดและโอโซนอันบริสุทธิ์ ช่วยให้ชีวิตสดชื่น เมื่อสูดอากาศริมทะเลเข้าไปในปอด ข้อนี้คงไม่แปลกอะไรที่นักท่องเที่ยวนิยมไปชายทะเล แม้แต่ชาวต่างประเทศ ก็ยังลงทุนเดินทางไปเที่ยวทะเล ทั้งที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมาย นั่นเป็นเพราะ… เขารู้ว่าประโยชน์จากทะเลมีคุณค่าแก่ชีวิตนั่นเอง


ฉลามวาฬ เป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก พบเห็นได้ที่ เกาะเต่าในบรรดาปลาในมหาสมุทร ปลาฉลามได้ชื่อว่าดุร้ายที่สุด สามารถฆ่าคนให้ตายและกลืนเป็นอาหารในพริบตา แต่ถ้าถามว่าปลาอะไรที่ตัวโตที่สุด ทุกคนคงจะตอบพร้อมกันว่า "ปลาวาฬ" เป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุด นั่นอาจจะจริง เพราะยังไม่มีปลาชนิดอื่นใหญ่เท่าปลาวาฬ อย่างไรก็ตามสถิติใหญ่ที่สุดของโลกนั้น ยังมีปลาอีกชนิดหนึ่ง มีขนาดใหญ่โตกว่าปลาวาฬทั่วไป เป็นปลาที่อยู่ในตระกูลเดียวกับปลาวาฬ และมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า ฉลามวาฬ (Whale Shark)

ปลาฉลามวาฬ จัดว่าเป็นปลาที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่เราไม่ค่อยจะได้พบปลาชนิดนี้บ่อยนัก มีผู้พบเห็นฉลามวาฬเข้ามาเกยตื้นอยู่ในอ่าวไทยให้เป็นข่าวไปทั่วโลกมาแล้ว

ปลาฉลามวาฬที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นปลาที่เคยติดโป๊ะบริเวณ เกาะจิก (Chick) ทางฝั่งทะเลด้านตะวันออกของอ่าวไทย เมื่อปี พ.ศ. 2462 ปลาฉลามวาฬตัวนี้ติดโป๊ะอยู่นานถึง 7 วัน ก่อนถูกยิงด้วยปืนไรเฟิลในช่วงเวลาถัดมา ขนาดความใหญ่โตของปลาฉลามวาฬ เป็นชื่อที่ผสมผสานระหว่างปลาฉลามกับปลาวาฬ และรูปร่างของปลาทั้งสองชนิดนี้มีลักษณะพันธุ์ทางที่คล้ายกัน คือ ปลาฉลามและปลาวาฬ ผิดกันก็ตรงที่ขนาดตัวของปลาวาฬใหญ่มหึมา โตกว่าปลาฉลามมากมาย ลักษณะตามตัวฉลามวาฬมีลายเป็นจุดขาวๆ แต้มทั่วตัว รูปร่างคล้ายกับปลาฉลามมากกว่าปลาวาฬ

ปลาฉลามวาฬเป็นปลาที่ไม่ค่อยจะได้พบเห็นจากที่ใดในโลกบ่อยนัก เพราะฉลามวาฬมักอาศัยอยู่ในทะเลลึก นานๆ จึงจะปรากฏตัวให้เห็นสักครั้ง จนบางครั้งรู้สึกว่า เป็นปลาที่สูญพันธุ์ไปแล้วในสายตาชาวโลก แต่สำหรับที่ เกาะเต่า แล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ โอกาสที่จะพบกับฉลามวาฬมีค่อนข้างสูงทีเดียว และทำให้ เกาะเต่า เป็นแม่เหล็กสำคัญในการดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ให้มาดำน้ำลึก Scuba ที่ เกาะเต่า ทำให้เกิดธุรกิจขั้นอุตสาหกรรมดำน้ำอย่างมากมาย และ เกาะเต่า จึงได้สร้างสิ่งดีๆ ประทับใจแก่ผู้มาเยือนเสมอ

นิสัยของปลาฉลามวาฬ ผิดกับปลาฉลาม คือ ฉลามวาฬเป็นปลาที่เชื่องช้า ไม่ดุร้ายเหมือนปลาฉลาม ชอบกินแพลงตอนเป็นอาหาร ชอบอาศัยอยู่ในแถบอบอุ่นของมหาสมุทรแอตแลนติค แปซิฟิค และมหาสมุทรอินเดีย

ถึงคำถามที่หลายคนสงสัยอยู่ประการหนึ่งว่า ถ้าคนเราเข้าไปอยู่ในท้องของปลาวาฬ จะตายหรือไม่? ด้วยการจำลองเหตุการณ์ดังกล่าวไปสร้างเป็นภาพยนต์การ์ตูนมากมายหลายเรื่อง และเกือบจะทุกเรื่อง สรุปให้คนรอดชีวิตจากเหตุการณ์ตกไปอยู่ในท้องของปลาวาฬเสมอ ซึ่งตามธรรมดาสามารถตอบได้เลยว่า คนที่เข้าไปอยู่ในท้องปลา จะไม่มีโอกาสรอดได้เลย แต่มีสิ่งที่น่าทึ่งถึงตัวอย่างเหตุการณ์ดังกล่าวที่ได้ถูกบันทึกไว้ในโลกว่า...

เมื่อเดือน กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1891 เจมส์ ปาร์ติเลย์ แห่งกลอสเซสเตอร์ เขาได้ทำการล่าปลาวาฬในภาคใต้ของแอตแลนติค ขณะที่ลงเรือเล็กยาวออกล่านั้น ปลาวาฬได้ใช้หางฟาดเรือขาด ตัวเขาได้หายไป และในคืนวันต่อมา ปลาวาฬตัวนั้นถูกล่าได้ และได้ผ่าท้องปลาวาฬตัวนั้น ปรากฏว่าพบร่างของ เจมส์ อยู่ในท้องของปลาวาฬ เขาสลบอยู่แต่ยังไม่ตาย


ปลาโอเชียนซันฟิช ยิงด้วยปืนไม่เข้าในบรรดาสัตว์โลกทั้งหลาย เราทราบดีว่า จระเข้หนังเหนียวมาก แต่กระนั้นหนังของมันไม่อาจต้านทานหัวกระสุนเหล็กกล้าของลูกปืนได้ เมื่อหันมาพิจารณาสัตว์น้ำจำพวกปลา ไม่ว่าปลาชนิดไหนแม้หนังเหนียวแต่ยิงเข้าทุกชนิด

มีปลาประหลาดอยู่ชนิดหนึ่ง รูปร่างคล้ายกับเครื่องโม่แป้งหรือคล้ายรูปไข่ ครีบบนและล่างตั้งตรงอยู่ส่วนท้ายของลำตัว หางกุด มองดูแล้วไม่เหมือนปลาทั่วไปในโลกเลย ปลาดังกล่าวนี้มีปากเล็กและมีชื่อว่า "ปลาโอเชียนซันฟิช"

ปลาโอเชียนซันฟิซ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า "โมลา" ตรงกับภาษาลาติน ซึ่งแปลว่า "หินที่ใช้โม่แป้ง" บางทีก็เรียกว่าปลาหัวโต หรือ เฮดฟิช ลักษณะลำตัวเป็นสีน้ำตาลอ่อน บ้างก็มีสีเทาค่อนไปทางสีฟ้า หรือสีเงินวาว มีฟันซี่เล็กๆ แหลมคม ครีบหลังและครีบหางค่อนข้างใหญ่

ปลาโอเชียนซันฟิช มีผู้พบเห็นอยู่ 2 ชนิด ชนิดแรกเรียกว่า "เอ็ม จานซีโอลาต้า" หางมีลักษณะคล้ายรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีความยาวของลำตัว 10 ฟุต หนัก 1 ตัน

ส่วนปลาโอเชียนซันฟิช ชนิดที่ 2 เรียกว่า "ลาซาเนีย ทรุนคาต้า" หางมีลักษณะเป็นขอบกลมๆ มีขนาดเล็กกว่าชนิดแรก

สำหรับปลาชนิดนี้ ยังมีอยู่อีกชนิดหนึ่ง มีความยาวประมาณ 2 ฟุต มีขนาดเล็กกว่าชนิดที่ 2 มักอยู่ในทะเลที่มีกระแสน้ำอุ่น หรืออุณหภูมิปกติ ปลาโอเชียนซันฟิช เป็นปลาที่สร้างความอัศจรรย์ใจแก่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกมาแล้ว พฤติกรรมหลากหลายล้วนน่าทึ่งเป็นอย่างยิ่ง มีผู้พบเห็นปลาโอเชียนซันฟิชลอยตัวอาบแดดบนผิวน้ำ มองดูแล้วเหมือนปลาตายลอยน้ำ หรืออีกประหนึ่งคล้ายกับปลากำลังจะตาย นักประดาน้ำเคยดำดิ่งลงไป ลึกประมาณ 50 ฟุต และได้พบปลาโอเชียนซันฟิช ราว 100 กว่าตัว ส่วนมากนัยตาหายไปและตายอยู่ใต้น้ำ นักสัตววิทยาชาวดัช 2 คน ค้นพบว่า ปลาโอเชียนซันฟิชนี้มีมากกว่า 57 ชนิด พบมากในฝั่งทะเลฮอลแลนด์ระหว่างปี ค.ศ. 1836 - 1939

ปลาโอเชียนซันฟิช มีชีวิตอยู่ได้ด้วยอาหารจำพวก หอย ปู กุ้ง ลูกปลาเล็กๆ และแมงกะพรุน ตัวเมียจะวางไข่ประมาณ 300 ล้านฟอง ตัวอ่อนยาวประมาณ 1/10 นิ้ว จะเปลี่ยนครีบและร่างเจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ กระดูกสันหลังจะแข็ง และยาวราว 5 นิ้ว ในระยะเวลา 15 วัน มีลำตัว 1/2 นิ้ว

อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจของปลาชนิดนี้ก็คือ เป็นปลาหนังเหนียวที่สุดในโลก หนังของปลาโอเชียนซันฟิชแข็งเหมือนหินสมกับชื่อดั้งเดิม "โมลา" ซึ่งแปลว่าหินจริงๆ มีผู้ทำการทดลองความเหนียวของปลาโอเชียนซันฟิช ด้วยวิธีการหลายอย่าง เช่น ใช้ฉมวกเหล็กกล้าปลายแหลมแทงขณะอยู่ในน้ำ แต่ปรากฏว่าปลาโอเชียนซันฟิชดำน้ำหนีไปได้อย่างรวดเร็ว เพียงแต่ส่งเสียงร้องออกทางจมูกและไรฟัน เสียงดังคล้ายเสียงหนูร้อง การทดลองครั้งสำคัญก็คือ ใช้ปืนที่มีอานุภาพในการทำลายสูง แต่ผลปรากฏลูกกระสุนปืนพุ่งแฉลบหนังออกไป ทำการทดลองอยู่หลายครั้งได้ผลเช่นเดิม ทำให้ทราบว่าลูกกระสุนปืนไม่สามารถเจาะผิวหนังของปลาโอเชียนซันฟิชได้เลย

ศัตรูที่ร้ายกาจของปลาโอเชียนซันฟิช คือ ปลาฉลาม แต่เขี้ยวเล็บอย่างฉลามก็ทำอะไรปลาโอเชียนซันฟิชไม่ได้เลย เมื่อเจอหนังเหนียวของปลามหาหิน ปลาที่ยิงด้วยปืนไม่เข้า เว้นเสียแต่ฉลามก็ฉลาดพอที่จะจู่โจมเข้าที่นัยตาของปลาโอเชียนซันฟิชอย่างจัง


ยูโตเปีย คืออะไร ?
เกาะเต่า มีรีสอร์ทอยู่แห่งหนึ่งชื่อ "
ยูโตเปีย สูท รีสอร์ท" เคยสงสัยถึงที่มาของชื่อนี้กันบ้างไหมว่า "ยูโตเปีย" มีที่มาอย่างไร

คำว่า ยูโตเปีย ( UTOPIA ) เป็นคำที่คู่กับคำว่า ยุคพระศรีอาริยเมตไตร ผู้ที่ให้กำเนิดคำๆ นี้ คือ โฮมัส โมร์ เขาเป็นขุนนางใหญ่ของอังกฤษ ในรัชสมัยพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 เกิดในปี ค.ศ. 1480 ถูกประหารชีวิตในปี ค.ศ. 1535 ฐานไม่ยอมรับนับถือว่าเฮนรี่มีอำนาจเป็นใหญ่ในทางศาสนา แต่ต่อมาในคริสตวรรษที่ 20 โป๊ปได้กระทำอภิเษกให้เป็นเซนต์

"ยูโตเปีย" เป็นภาพวาดสังคมสมมติที่ โฮมัส โมร์ ได้สร้างความคิดฝันขึ้น โดยสังคมสมมตินั้น มีเกาะหนึ่ง ชื่อ " UTO PIA ยูโตเปีย " สังคมดังกล่าวนี้ ทรัพย์สินทั้งหลายเป็นของสังคมทุกๆ คน ถือธรรมประจำใจว่า ต้องทำงานและเสียสละเพื่อส่วนรวม เป็นสังคมในความฝัน

ต่อมาคำๆ นี้ จึงมีผู้นำมาใช้เรียกกลุ่มหรือผู้ที่วาดภาพทางสังคม ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ทางสังคมว่า นักสังคมยูโตเปีย หรือคติที่เป็นไปในความฝัน ซึ่งไม่มีทางสำเร็จได้ จึงเรียก "ยูโตเปีย" อย่างไรก็ตามคำว่า "ยูโตเปีย" และความหมายของสังคมสมมตินี้ มีแนวคิดคล้ายคลึงกับ พุทธทำนาย ที่ปู่ย่าตายายเคยพูดสืบทอดต่อกันมาว่า ปลายพุทธศาสนานุกาล มนุษย์จะเข้าสู่มิคสัญญี เพราะศีลธรรมเสื่อมทรามลง จึงมีแต่รบราฆ่าฟันกัน เบียดเบียนกัน สิ่งมหัศจรรย์จะเกิดขึ้น ไฟบรรลัยกัลป์จะล้างโลกที่โสมม แล้วเกิดยุคใหม่คือ ยุคพระศรีอาริยเมตไตรก็จะอุบัติขึ้น แต่ละยุคนั้นมนุษยชาติจะอยู่ร่วมกันด้วยความเมตตาปราณีระหว่างกัน บุคคลเสมอเหมือนกัน ประดุจว่าเมื่อออกจากบ้านแล้ว ต่างก็สังเกตความผิดเพี้ยนระหว่างกันไม่ได้ ความสะดวกสบายในการคมนาคม และความอุดมสมบูรณ์ของปัจจัยหลั่งไหลเหลือคณานับ ประดุงว่ามีต้นกัลปพฤกษ์ทุกมุมเมือง ซึ่งมนุษย์จะถือเอาได้ตามต้องการ.

ที่มา : เกาะเต่าทูเดย์ (http://www.kohtaotoday.com/koh_tao_thai_language.html) สืบค้นเมื่อ 9 เม.ย.2552
Read more >>

วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2552

ฉลามวาฬ สัตว์นำโชคของทะเลไทย



ปลาใหญ่ที่สุดในโลก ขนาดโตเต็มที่อาจยาวเกิน 12 เมตร น้ำหนักเกิน 11 ตัน ฉลามวาฬพบได้ทั่วโลก แต่มีเพียงทะเลบางแห่ง...บางแห่งเท่านั้น ที่พบเขาชุกชุม จนกลายเป็นตำนานเล่าขานถึงปลาใหญ่สุดที่มวลมนุษยชาติได้รู้จัก เมื่อพ.ศ.2467 กลางอ่าวไทย ฉลามวาฬขนาดยาวเกิน 15 เมตรถูกจับได้ ตลอดประวัติศาสตร์หลายพันปีของมนุษย์ เราไม่เคยพบปลาตัวไหนใหญ่กว่านั้น...อีกแล้ว



ลำดับทางอนุกรมวิธาน
-Phylum Vertebrata
-Class Chordata
-Order Orectolobiformes
-Family Rhincodontidae
-Genus Rhincodon
-Sciencetific name Rhincodon typus

ชื่อไทย ฉลามวาฬ หัวบุ้งกี๋
ชื่อสามัญ Whale shark

ฉลามวาฬ ( Whale shark - Rhincodon typus ) เป็นสัตว์เลือดเย็นในพวกปลากระดูกอ่อน กลุ่มปลาฉลาม เป็นชนิดเดียวใน Family Rhincodontidae และอยู่ใน Order Orectolobiformes ร่วมกับฉลามเสือดาว ( leopard shark - Stegostoma fasciatum ) และ ฉลามขี้เซา ( Nurse shark - Nebrius ferrugineus )

ฉลามวาฬ ใช้เหงือกในการหายใจ มีช่องเหงือก 5 ช่อง มีครีบอก 2 อัน ครีบหาง 2 อัน และครีบก้น(หาง) 1 อัน หางของฉลามวาฬ อยู่ในแนวตั้งฉาก และโบกไปมาในแนวซ้าย-ขวา แตกต่างจากสัตว์เลือดอุ่นในทะเลที่หางอยู่ในแนวขนานและหายใจด้วยปอด อาทิ วาฬ โลมา พะยูน เป็นต้น

ฉลามวาฬเป็นปลาและสัตว์เลือดเย็นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก กิน plankton เป็นอาหารเช่นเดียว กับกระเบนราหู ( Manta ray - Manta brevirostris ) แต่มีวิธีการกินที่แตกต่างกันออกไป โดยฉลามวาฬจะว่ายเข้าหาฝูง plankton แล้วอ้าปากหุบน้ำ เข้าไปจากนั้นก็จะใช้ซี่เหงือกกรอง plankton ไว้ ขณะที่ manta จะอ้าปากให้น้ำผ่านตลอดเวลา

ลักษณะของฉลามวาฬที่แตกต่างจากฉลามที่เรารู้จักกันคือ หัวที่ใหญ่โตมากเมื่อเทียบกับขนาดลำตัว และปากที่อยู่ด้านหน้าแทนที่จะอยู่ด้านล่าง ลักษณะการกินอาหารไม่ใช่ปัจจัยที่นักวิทยาศาสตร์ใช้แบ่งฉลามวาฬออกจากฉลามตัวอื่นๆ เนื่องจากยังมีฉลามอีก 2 ชนิดที่ กิน plankton เป็นอาหารแต่อยู่คนละ order กับฉลามวาฬ

วงจรชีวิต ฉลามวาฬเป็นสัตว์ที่มีวงจรชีวิตลึกลับ เท่าที่มีรายงานทราบว่าฉลามวาฬมีอายุยืนมาก จากรายงานของประเทศออสเตรเลียพบว่าฉลามวาฬจะเริ่มสืบพันธุ์ เมื่ออายุ 30 ปี หากเปรียบเทียบช่วงอายุการสืบพันธุ์กับฉลามอื่นใน Order เดียวกันแล้ว พบว่าฉลามวาฬอาจมีอายุถึง 100 ปี ไม่เคยมีใครเห็นฉลามวาฬผสมพันธุ์ในน้ำ แต่คาดว่าจะเกิดขึ้นในทะเลลึกนอกจากนี้เรายังไม่ทราบแน่ชัดฉลามวาฬออกลูกเป็นตัวหรือเป็นไข่

ในปีค.ศ. 1953 มีเรือประมงลากอวนได้ไข่ของฉลามวาฬ ขนาด 35 เซนติเมตรขึ้นมาได้จากระดับความลึก 55 เมตร ภายในมีตัวอ่อนฉลามวาฬ แต่เราก็ยังไม่แน่ใจว่าฉลามวาฬออกลูกเป็นไข่ เนื่องจากว่าหลังจากนั้นไม่เคยมีใครเห็นไข่ฉลามวาฬอีกเลย

นักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อว่าฉลามวาฬออกลูกเป็นตัว (ไข่ฟักตัวในท้องแม่ แล้วออกมาเป็นตัวข้างนอก) สันนิษฐานว่า ฉลามวาฬ 1 ตัวอาจมีไข่มากว่า 100 ฟอง ในรังไข่ อย่างไรก็ตาม สมมุติฐานนี้ก็ยังไม่มีการยืนยัน

บางท่านอาจสงสัยว่า ทำไมไม่เทียบกับฉลามอื่นๆใน Order เดียวกัน คำตอบก็คือ ฉลามในกลุ่มเดียวกันนั้นออกลูกได้ทั้งเป็นตัว(ฉลามขี้เซา) และเป็นไข่(ฉลามเสือดาว) เรื่องที่น่าประหลาดอีกเรื่องก็คือ ฉลามวาฬ เกือบทั้งหมดที่พบมีขนาดใหญ่กว่า 3.5 เมตร มีเพียง 3 ครั้ง เท่านั้นที่พบขนาดเล็กกว่านั้น คือมีขนาด 60 เซนติเมตร 1.3 เมตร และ 3 เมตร

การแพร่กระจาย ฉลามวาฬมีการแพร่กระจายในทะเลเขตร้อนทั่วโลก ยกเว้นทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน ฉลามวาฬมักอาศัยอยู่ในบริเวณที่น้ำมีอุณหภูมิ 21-26 องศาเซลเซียส โดยมีการแพร่กระจายสัมพันธ์กับกระแสน้ำอุ่นในบางบริเวณ ฉลามวาฬมักพบในเขตที่มวลน้ำอุ่นปะทะกับน้ำเย็นและ มี plankton มาก ในบริเวณน้ำผุด ( กระแสน้ำด้านล่างพัดปะทะแนวหินแล้วพัดพาเอาธาตุอาหารจากพื้นขึ้นสู่มวลน้ำด้านบน - Upwelling )



นอกจากนี้หลายคนเชื่อว่าฉลามวาฬมีการอพยพย้ายถิ่นแต่ยังไม่มีแนวทางแน่นอนว่าเป็นแนวทางใด ฉลามวาฬในเมืองไทยส่วนใหญ่พบตามกองหินใต้น้ำในบริเวณทะเลเปิด มีความลึก 30 เมตรขึ้นไป อาทิ ริเชลิว หินม่วง หินแดง กองตุ้งกู โลซิน ฯลฯ จุดที่เชื่อกันว่าพบฉลามวาฬบ่อยที่สุดคือ ริเชลิว มีความเป็นไปได้ในเรื่องการอพยพของฉลามวาฬในระยะทางหลายร้อยกิโลเมตร อาทิ พบว่ามีการอพยพของฉลามวาฬจากเกาะปาปัวนิวกีนีลงมาตามชายฝั่งด้านตะวันออกของแนวปะการัง great barrier reef

การล่าฉลามวาฬในต่างประเทศ ชาวประมงต้องการเพียงแค่ซึ่งมีราคาสูงที่สุด ครีบและหางจะถูกนำมาตากแห้ง ก่อนแล่แล้วส่งโรงงานทำเป็น “หูฉลาม” บางครั้งชาวประมงแล่เอาครีบและหางกลางทะเล ก่อนปล่อยให้ซากศพจมสู่พื้นทะเล เนื้อส่วนท้องของฉลามวาฬจะถูกชำแหละเป็นชิ้น เนื้อส่วนนี้จะถูกนำไปทำเป็น “ฉลามเต้าหู้” ส่วนเครื่องในของฉลามวาฬ เช่น ตับ จะถูกนำส่งโรงงานไปทำน้ำมันตับปลา ใส่แคปซูลไปให้คนกินทั่วโลก แต่ไม่ใช่เฉพาะฉลามวาฬเท่านั้นที่มีตับ ปลาอื่นก็มี และยังมีอีกหมื่นอีกแสนปลาที่เป็นอาหารของพวกเราโดยตรง ไม่จำเป็นต้องฆ่าฉลามวาฬเพียงเพื่อหวังตับและครีบ

เหตุการณ์ทั้งหมดไม่ได้เกิดในทะเลไทย ประมงไทยยังนับถือฉลามวาฬเหมือนเจ้าพ่อ หรือตัวนำโชคแต่ฉลามวาฬเป็นสัตว์อพยพ มีการเดินทางจากทะเลหนึ่งไปอีกทะเลหนึ่ง เขาไม่รับรู้รับทราบกับการแบ่งขอบเขตประเทศของมนุษย์แม้แต่น้อย


หลายสิบปีผ่านไป ฉลามวาฬยังคงอยู่คู่ทะเลไทย พบชุกชุมที่หินริเชลิว ฝั่งทะเลอันดามัน จังหวัดพังงา ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน บริเวณหินม่วง-หินแดง ในเดือนมกราคม ฯลฯ รวมทั้งข้อมูลที่พบทั่วไปในอ่าวไทย เกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี หินเพลิง จังหวัดระยอง หินแพ จังหวัดชุมพร ฯลฯ นักดำน้ำต่างพากันลงทะเล ยอมเสียเงินหลายหมื่นบาท บางคนลงทุนข้ามโลกมา เพื่อเพียงได้เห็น ได้มีโอกาสว่ายน้ำเคียงคู่กับปลาใหญ่ที่สุดในโลกสักครั้งในชีวิต ข้อมูลจากการสำรวจขั้นต้น ฉลามวาฬหนึ่งตัวที่หินริเชลิว ทำรายได้ให้ประเทศไทยประมาณ 200 ล้านบาทต่อปี

บริเวณอ่าวไทยฝั่งตะวันออก มีชาวประมงและนักดำน้ำเจอกันเป็นประจำในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ซึ่งฉลามวาฬส่วนใหญ่จะเข้ามากินอาหาร ได้แก่ พวกลูกกุ้ง เคย เนื่องจากมีความชุกชุมมากในช่วงนี้ จากการสอบถามคุณวิเชียร สิงห์โตทอง ประธานชมรมธุรกิจท่องเที่ยว บอกว่าในปี พ.ศ. 2546 เจอฉลามวาฬ 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2546 มีความยาวประมาณ 8 เมตร ที่บริเวณเกาะรัง จังหวัดตราด ความลึกของน้ำประมาณ 30 เมตร และเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2546 พบบริเวณหินเพลิง จังหวัดระยอง ความยาวลำตัวประมาณ 7-8 เมตร พบที่ความลึกของน้ำประมาณ 30 เมตร และจากการสอบถามชาวประมงเรือไดหมึก พบฉลามวาฬเป็นประจำทุกปีในช่วงฤดูหนาว (ตุลาคม-กุมภาพันธ์) บริเวณเกาะทะลุ และบริเวณหมู่เกาะมัน ที่ความลึกของน้ำประมาณ 15-17 เมตร ในปีพ.ศ.2548 คืนวันที่ 22 พฤษภาคม 2548 คุณวิเชียร สิงห์โตทอง พบปลาฉลามวาฬเพศเมีย ความยาวลำตัว 4.5 เมตร น้ำหนัก 480 กิโลกรัม เข้ามาเกยตื้นที่บริเวณหาดแหลมแม่พิมพ์ จังหวัดระยอง ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ชาวบ้านและชาวประมงในบริเวณนั้นช่วยกันผลักให้ฉลามวาฬลงทะเลไปได้ แต่ฉลามวาฬอาจได้รับบาดเจ็บหรือป่วย เช้าวันที่ 23 พฤษภาคม 2548 ก็พบว่าได้เสียชีวิตแล้ว ซากของฉลามวาฬได้นำไปผ่าพิสูจน์ปรากฏว่าไม่พบอาหารในกระเพาะเลย คาดว่าน่าจะป่วยหรือได้รับบาดเจ็บจนว่ายน้ำ ไม่ไหว

ข้อมูล : การจัดองค์ความรู้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (http://km.dmcr.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=99:2009-02-17-04-13-13&catid=93:2009-02-16-08-37-08&Itemid=28)
Read more >>

วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2552

จุดดำน้ำ Vertical wreck (เรือ Pak1 ฉายา เรือแก็สผีสิงห์)







ข้อมูลทั่วไป
เรือลำนี้มีความยาวประมาณ 60 เมตร มีชื่อว่า Koho Maru 5 ซึ่งหมายถึง แสงสว่างแห่งญี่ปุ่น เดิมเป็น ของบริษัทญี่ปุ่น ซึ่งต่อมาบริษัทของคนไทยได้ซื้อมาและเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Pak 1 หรือ Pak Wan และ ดัดแปลงเป็นเรือบรรทุกแก๊ส LPG

การเดินทางครั้งสุดท้าย
มีผู้พบสัญญาณไฟขอความช่วยเหลือของเรือลำนี้ ซึ่งบันทึกไว้ว่าเป็นปี ค.ศ.1995 ซึ่งก็เป็นปีที่เรือลำนี้จม จากการตรวจสอบกับบริษัท Lloyds of London แล้ว ปรากฏว่าไม่มีการแจ้งว่าเรือลำนี้มีการจมแต่อย่างใด หนึ่งในจำนวนลูกเรือที่รอดชีวิตจากเรือจมครั้งนั้น (ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ท่าเรือสมุทรปราการ) เล่าให้ฟังว่า เรือจมตอนตีสามซึ่งทุกคนกำลังนอนหลับลูกเรือส่วนใหญ่นอนอยู่ที่ด้านท้ายเรือยกเว้นพวกที่รอดชีวิต 4 คน นอนอยู่ที่หัวเรือ เขาได้ยินเสียงระเบิดดังมากซึ่งดังมาจากด้านท้ายเรือและเรือได้ จมลงอย่าง รวดเร็ว กว่าจะรู้สึกตัว เรือก็จมลงไปครึ่งลำแล้วลูกเรือบางคนวิ่งไปเปิดก๊าซในถังใบแรกที่อยู่หัวเรือออกซึ่งก็เปิดออกไปได้เพียงครึ่งเดียว ส่วนถังใบที่สองที่มีก๊าซอยู่เต็มถังนั้น จมน้ำลงไปแล้วไม่สามารถไปเปิดให้ก๊าซออก ไปได้ สาเหตุที่ต้องเปิดให้ก๊าซออกไปเนื่องจากเกรงว่าถ้าจมล่มไปในทะเลแล้วจะทำให้เกิดมลภาวะได้ พวกเขาต้องอยู่ในเรือชูชีพอยู่ถึง 7 วัน ในขณะที่อาหารและน้ำหมดลงไปตั้งวันที่ 4 แล้ว ใจในขณะนั้นทุกคนคิดว่าต้องตายแน่ หมดเรี่ยวแรงกันไปหมดแล้วแต่ในที่สุดก็มีเรือมาพบและช่วยชีวิตพวกเขาไว้ ก่อนที่เรือจะจมประมาณ 1 อาทิตย์ เขาได้ยินเสียงดังมากที่ห้องเครื่องยนต์ แต่ก็ไม่ได้สงสัยอะไร ลักษณะของเรือที่จม ในขณะที่เรือวิ่งอยู่นั้นปรากฏว่า ใบพัดเรือได้ฉีกขาด ทำให้น้ำทะลักเข้ามาทางด้านท้ายเรือแล้วน้ำทะเลเริ่มเข้าไปในห้องอับเฉาที่ 1 ด้านท้ายแล้วต่อเนื่องไปจนถึงห้องอับเฉาที่ 2 - 3 ส่วนห้องอับเฉาที่ 4 และ 5 นั้นถูกปิดสนิท น้ำทะเลเข้าไปไม่ ได้สาเหตุที่เรือลำนี้ตั้งตรงอยู่ได้เพราะห้องอับเฉาที่ 4 - 5 ซึ่งมีอากาศอยู่ภายใน และถังก๊าซใบแรกที่มีอากาศ อยู่ครึ่งหนึ่ง ทำให้ทำให้เป็น Buoyancy หัวเรือจึงเชิดขึ้นสู่ผิวน้ำในขณะที่ด้านท้ายเรือมีน้ำทะเลเป็นตัวถ่วงดุล ความหนักของเครื่องยนต์ จึงเป็นสาเหตุให้ท้ายเรือจมลงสู่พื้นทะเล เรือจมโดยด้านท้ายเรือตั้งอยู่กับพื้นทะเล และ หัวเรือพุ่งขึ้นสู่ผิวน้ำในลักษณะตั้งตรงเหมือนตึก และหัวเรือ ห่างจากผิวน้ำทะเลประมาณ 5 เมตร ซึ่งแตกต่างจากเรือจมโดยทั่ว ๆ ไป ที่ตัวเรือจะราบไปกับพื้นทะเล และหัวของเรือลำนี้มีรอยถูกชนจากเรือลำที่เผอิญผ่านมา ทำให้หัวเรือมีรอยฉีกขาดอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเมื่อเรือจมใหม่ ๆ ยังไม่มีการวางทุ่นไว้ให้เป็นที่สังเกตสำหรับเรือที่ผ่านไปมา วิศวกรซึ่งเป็นนักดำน้ำคำนวณว่า ถังทั้ง 2 ใบ มีความหนา ประมาณ 25 มม. ซึ่งสามารถทนอยู่ได้ไม่ต่ำ กว่า 20 ปี ถึงจะเกิดรอยรั่วเนื่องจากการกัดเซาะของน้ำทะเล ตำแหน่งที่จม ระยะทาง : 60 ไมล์ จากจังหวัดระยอง ระยะเวลาเดินทางโดยเรือ : 5 ชั่วโมง ความลึก : 60 เมตร ทัศนวิสัย : น้ำใสมองเห็นได้ประมาณ 20 - 40 เมตร กระแสน้ำ : ปานกลาง อุณหภูมิของน้ำ : 28 องศาเซลเซียส ระดับของนักดำน้ำ : ควรอยู่ในการดูแลของ Divemaster

ที่มา : คุณโป๋ โพสต์ไว้ใน
www.whalesharkthai.com เมื่อ 2 ก.พ. 2545 เวลา 05:41:40 น

ข้อมูลจาก การ post กระทู้ต่างๆ เกี่ยวกับ Vertical Wreck หรือ Pak 1 หรือ Pak Wan จาก www.whalesharkthai.com เมื่อปี พ.ศ. 2545
คุณ similans โพสต์ไว้เมื่อ 31 ม.ค. 2545 เวลา 19:18:20 น. ว่า “วันที่ 26 มกราคม 2545 กลุ่มร้านดำน้ำ Master Scuba Connection ของ ตา สุรางคนา ไปดำน้ำที่ Vertical wreck ไปถึงก็ปรากฏรูปที่เห็นอยู่นี่แหละครับ (รูปบน) (ค้นหารูปไม่พบ..ผู้รวบรวม) รอบ ๆ เรือมีฟองแก๊สลอยขึ้นมาตลอดเวลาพร้อมกับหัวเรือก็ลอยพ้นผิวน้ำขึ้นมา”
คุณโป๋ โพสต์ไว้เมื่อ 2 ก.พ. 2545 เวลา 05:29:57 น. ว่า “ดูจากในภาพและคำอธิบายที่ว่าหัวเรือลอยพ้นผิวน้ำขึ้นมานั้น เดาเอาว่า ก๊าซในถังใบที่สองที่เคยมีอยู่เต็มค่อย ๆ ออกไปเรื่อย ๆ จนในที่สุด ทำให้มีอากาศมากขึ้น จึงสามารถยกส่วนท้ายเรือที่ติดอยู่ที่พื้นให้ลอยขึ้นมาจนกระทั่งหัวเรือลอยพ้นผิวน้ำ ซึ่งในตอนนั้นจมอยู่ใต้ผิวน้ำประมาณ 5 เมตร เป็นแค่เดาเอาเองเท่านั้น ไม่รู้ว่าเหตุใดเรือถึงได้ลอยขึ้นมาได้” และต่อมาในวันที่ 3 ก.พ. 2545 เวลา 06:13:24 น. ก็โพสต์ต่อว่า “นักดำน้ำที่ไปกับ HighTide ไปดำน้ำที่ Vertical Wreck เมื่อวันเสาร์(2 ก.พ.)กลับมาถึงฝั่งตอนค่ำ ๆ แจ้งว่า เรือลอยห่างจากจุดเดิม 3 ไมล์ทะเล และเข้ามาใกล้ฝั่งมากขึ้น หัวเรือที่เห็นในภาพแรกนั้น ลอยพ้นน้ำขึ้นมา 5 เมตร และยังคงสภาพอยู่ในแนวตั้งเหมือนเดิม แสดงว่าด้านท้ายของเรือไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นทะเลแล้ว น่าจะลอยพ้นทะเลขึ้นมา 10 เมตร เพราะเดิมหัวเรือจมอยู่ใต้ผิวน้ำ 5 เมตร และเรือจะยังคงลอยไปเรื่อย ๆ ได้ลงไปสำรวจดูแล้ว พบว่าที่ถังแก๊สใบแรกในระดับความลึก 40 ฟุต ดูภาพใน Comment 5 มีแก๊สพุ่งออกมาออกมาอยู่ตลอดเวลา แต่มองไม่เห็นว่าเป็นการพุ่งออกมาจากส่วนไหน เพราะมีตะแกรงบังอยู่ ลักษณะเหมือน Reg. FreeFlow (คงนึกภาพออก)” คุณโป๋ ได้รวบรวมข้อมูลของ Vertical wreck ไว้ดังนี้

Pak1 ลอยขึ้นมาเหนือน้ำ (น.ส.พ.เดลินิวส์)
กองทัพเรือเตือนอันตราย ซากเรือบรรทุกแก็สเกือบ 700 ตันจมอยู่กลางทะเลใกล้เกาะกูด เกิดลอยขึ้นมาเหนือน้ำและเคลื่อนจากจุดเดิมมาเรื่อยๆ หากมีเรือพุ่งเข้าชนรับรองแก็สระเบิดแน่ รีบหาทางวางทุ่นลอยแจ้งตำแหน่งให้เรือเดินทะเลทราบก่อนเกิดเหตุร้าย เผยเป็นเรือบรรทุกแก็สจำนวนมากจะไปเวียดนามแต่จมเสียก่อนพร้อมลูกเรือ 9 คนตั้งแต่ ปี 39 เรื่องราวเรือแก๊ส เปิดเผยขึ้นเมื่อวันที่ 5 ก.พ. น.อ.สุพรรณ เหมมาลา ผอ.กองยุทธการ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือภาคที่ 1 กองเรือยุทธการ ได้รับแจ้งจาก นายวิเชียร สิงห์โตทอง ผู้ประกอบกิจการท่องเที่ยวดำน้ำ จ.ระยอง ว่าได้ พบซากเรือบรรทุกแก๊สชื่อ “แพ๊ควัน” ที่จมอยู่ใต้ทะเลด้านเกาะกูด จ.ตราด ได้โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำประมาณ 15 เมตร และได้เคลื่อนที่จากแหล่งเดิมที่จมลง ห่างออกมาประมาณ 6 กม. คาดว่ากำลังลอยมุ่งหน้าไปทางเกาะเสม็ด จ.ระยอง เกรงว่าจะเกิดอันตรายกับเรือที่แล่นผ่านไปมา หากพุ่งเข้าไปชนซากเรือดังกล่าว จึงรายงานผู ้บังคับบัญชาทราบ ต่อมา พล.ร.ท.อกนิษฐ์ หมื่นศรี ผบ.กองเรือภาคที่ 1 กองเรือยุทธการ ได้สั่งการให้นำเฮลิคอปเตอร์ จากหมวดบินเฉพาะกิจ ขึ้นทำการบินลาดตระเวนตรวจสอบเรือดังกล่าว บริเวณพิกัดแลตติจูด 11 องศา 43 ลิบดาเหนือ ลองติจูด 101 องศา 39 ลิบดาตะวันออก พบซากเรือบรรทุกแก๊สลำดังกล่าวได้เคลื่อนตัวและลอยขึ้นมาเหนือน้ำจริงตามที่ได้รับแจ้ง จึงรีบรายงานศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือทราบ เนื่องจากเกรงว่า ถ้ามีเรือประมง หรือเรือบรรทุกสินค้า และเรืออื่นๆ หากพุ่งเข้าชนจะเกิดระเบิดขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากเรือลำดังกล่าวมีแก๊สชนิด แอลพีจี บรรจุอยู่ในถัง ถึง 2 ถังจำนวน 650,531 กก. อีกทั้งยังมีน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ในเรือเหลืออยู่อีกประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ด้วย หลังได้รับรายงาน พล.ร.ท. อกนิษฐ ์ เปิดเผยว่าเรือลำดังกล่าวเป็นเรือที่ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือ ได้แจ้งให้กองเรือภาคที่1 ตรวจสอบเมื่อวันที่ 29 ส.ค.2539 ว่าให้จัดกำลังทางเรือ อากาศยาน และอื่นๆ ช่วยค้นหาผู้ประสบภัยทางทะเลจำนวน 9 คน กรณีเรือบรรทุกแก๊ส แพ็ควัน เกิดอับปางกลางทะเลทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะกูด จ.ตราด โดยเรือลำดังกล่าวได้เดินทางจากท่าเรือ บีไอ.เอสโซ่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เพื่อเดินทางไปยังเมืองท่าวองตู ประเทศเวียดนาม แต่ได้เกิดอับปางเสียก่อน จากการตรวจสอบปรากฏว่า เรือลำนี้เกิดอับปางตั้งแต่ วันที่ 25 ส.ค.39 การค้นหาผู้ประสบภัยจำนวน 9 คนเป็นไปด้วยความยากลำบาก และหาไม่พบแต่อย่างใด ต่อมาได้รับรายงานว่ามีผู้รอดชีวิต 1 คนสูญหายไป 8 คนจนบัดนี้ก็ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีผู้รอดชีวิตหรือไม่ ผบ.กองเรือภาคที่1 กล่าวต่อว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 เม.ย.42 ได้จัดชุดปฏิบัติการพิเศษทางเรือ กองเรือภาคที่ 1 ออกตรวจสอบสภาพของเรือ พบว่ายังอยู่ในสภาพปกติโดยได้ให้ทำความสะอาดท่อแก๊ส วาล์ว เพราะเกรงว่า ถ้าสิ่งเหล่านี้เกิดชำรุดจะทำให้กำลังของแก๊สดันระเบิดขึ้นได้ และอาจรั่วสร้างมลภาวะทางน้ำ ส่วนสภาพของเรือ ยังอยู่ในลักษณะแนวตั้ง ด้านท้ายเรือจมลงในพื้นดินและทรายลึกประมาณ 5 เมตร ส่วนที่เหลืออีก 55 เมตรยังอยู่กลางน้ำ หัวเรือต่ำกว่าระดับน้ำเพียง 5 เมตร เท่านั้น สภาพเรือลักษณะเหมือนเคยถูกชนมาก่อนอีกด้วย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เรือลำดังกล่าว จมมาแล้วเกือบ 6 ปี ซึ่งบริเวณดังกล่าว เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำหรับนักดำน้ำทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ เป็นแหล่งศึกษาเพาะพันธุ์ปลาที่มีขนาดใหญ่หลายชนิด ส่วนเรือลำดังกล่าว เป็นเรือสัญชาติไทยเป็นของบริษัท พีเอเค.ไลน ์ จำกัด ก่อนที่คนไทยจะซื้อมา เป็นของประเทศญี่ปุ่นชื่อ โกโฮมารู มีความยาวขนาด 60 เมตร

ขณะนั้นกองทัพเรือได้ประสานขอความช่วยเหลือไปแล้ว แต่ไม่ได้รับการตอบรับจากบริษัทฯ ในการกู้ซากเรือแต่อย่างใด จึงปล่อยเรือลำนี้ไว้อย่างนั้นมาถึงเกือบ 6 ปี ซึ่งเป็นอันตรายต่อการเดินเรือเป็นอย่างมาก ถ้ามีเรือแล่นมาชนอาจเกิดระเบิดขึ้นได้ หรือถ้าแก๊สรั่วตามความเสื่อมของท่อหรือวาล์ว ก็อาจจะเป็นอันตรายต่อภูมิทัศน์ทางทะเล สัตว์ พืชและสิ่งมีชีวิตก็จะเป็นอันตราย ปริมาณแก๊สเกือบ 7 แสน กก. รวมทั้งน้ำมันเชื้อเพลิง ล้วนแต่เป็นอันตรายทั้งสิ้น และขณะนี้เรือได้เคลื่อนตัวจากตำแหน่งเดิมไปมาก หากบรรดาเรือต่างๆ ไม่ทราบอันตรายก็จะเกิดขึ้นแน่ ทางกองทัพเรือต้องรีบหาแนวทางในการวางทุ่นลอยและแจ้งให้ชาวเรือทราบโดยเร็ว อีกทั้งทางบริษัทฯ ต้องรีบหาแนวทางกู้เรือให้เร็วที่สุดด้วย. จากการตรวจสอบพบว่าขณะนี้รอบๆ บริเวณพิกัดที่เรือลอยขึ้นมาเหนือน้ำได้มีคราบน้ำมันลอยเป็นลักษณะกลมใสเป็นวงกว้าง คาดว่าเป็นคราบน้ำมันดีเซลที่ใช้กับเครื่องยนต์เรือ ส่วนสาเหตุที่มีน้ำมันรั่วไหลขึ้นมานั้น คงเป็นสาเหตุที่เรือถูกคลื่นลม ตัวเรือกระแทกกับพื้นดินและทรายใต้ทะเล จนเป็นสาเหตุให้น้ำมันเริ่มรั่วไหลออกมา ส่วนสาเหตุเบื้องต้น สันนิษฐานว่า เรือบรรทุกแก๊สลอยตัวขึ้นมาเหนือน้ำนั้นคงเกิดจาก ขณะนี้มีอากาศร้อน น้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติ จนทำให้แก๊สที่บรรจุอยู่ในถังฟูลอยตัว จนดันให้เรือลอยตัวสูงขึ้นมาก็เป็นได้

ที่มา : น.ส.พ.เดลินิวส์
http://www.dailynews.co.th ไม่สามารถระบุวันที่ได้


เรือแพ๊ควันแก๊สรั่วอันตรายห้ามใกล้รัศมี 3 กม. (น.ส.พ.เดลินิวส์)
ทหารเรือประกาศเขตอันตรายบริเวณที่เรือบรรทุกแก๊ส "แพ๊ควัน" ล่มแล้ว หลังส่งประดาน้ำลงไปสำรวจพบว่า มีแก๊สรั่วออกมาจำนวนมาก สั่งห้ามเข้าใกล้ในรัศมี 3 กม.เกรงจะเกิดประกายไฟและทำให้เกิดระเบิดขึ้น ขณะเดียวกันตำแหน่งเรือได้ลอยออกห่างจากเกาะช้างแล้ว มุ่งหน้าเข้าไปในเขตเขมร ด้าน บริษัทประกันภัยเริ่มหารือกันเพื่อกู้เรือแล้วพร้อมกับเตรียมรื้อเรื่องการขอรับสินไหมทดแทนของ "แพ๊ควัน" ขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง หลังโผล่พ้นน้ำของเรือบรรทุกแก๊ส "แพ็ควัน" ของบริษัท แพ็คไลน์ จำกัด ที่จมลงสู่ก้นทะเลพร้อมแก๊ส แอลพีจี. เกือบ 700 ตัน ไม่ห่างจากเกาะกูด จ.ตราด เท่าไรนัก ขณะเดินทางมุ่งหน้าไปประเทศเวียดนาม ล่าสุดกองเรือภาคที่1 ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ไปวางทุ่นลอยและติดสัญญาณไฟที่ซากเรือเพื่อป้องกันอุบัติเหตุแล้ว และถ้าในระยะยาวหากไม่มีใครมากู้เรือ ก็จะกู้เองหรือจมทิ้งที่ในทะเลลึก เพื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหรือแหล่งเพาะพันธุ์ปลาต่อไป ด้านพัชรประกันภัย ก็เร่งประสานกับผู้เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการกู้ซากเรือ แต่ต้องใช้เวลาเนื่องจากต้องตรวจสอบว่า ในเรือยังมีแก๊สอยู่หรือไม่ ถ้ามีก็ต้องเอาแก๊สออกไปเสียก่อน ขณะเดียวกันลูกเรือต่างออกมาเปิดเผย บางรายก็ได้เงินจากประกันสังคม บางรายก็ได้เงินก้อนไปเรียบร้อยแล้ว แต่ทุกคนก็ยังอยากให้กู้ซากเรือ เพื่อค้นหากระดูกญาติที่เสียชีวิตเพื่อนำมาบำเพ็ญกุศลนั้น ความคืบหน้าของเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 8 ก.พ. พล.ต.ท.อกนิษฐ ์ หมื่นศรี ผู้บัญชาการกองเรือภาคที่1 ได้รับรายงานจาก น.ต.ชำนาญ สอนแพง นายทหารเรือยุทธการ หัวหน้าชุดปฏิบัติสำรวจเรือแพ็ควัน ที่ จ.ตราด โดยได้นำเรือตรวจการณ์ หมายเลข 214 นำกำลังพลและอุปกรณ์ ไปดำน้ำสำรวจทราบ ที่แลตติจูด 11 องศา 39.41 ลิปดาเหนือ ลองติจูด 101 องศา 40.99 ลิปดาตะวันออก ผลจากการสำรวจพบว่า สภาพตัวเรือบริเวณหัวเรือโผล่พ้นจากผิวน้ำขึ้นมาประมาณ 5 เมตร ส่วนท้ายเรือ ขณะนี้ยังจมอยู่ ใต้ผิวพื้นทะเลซึ่งเป็นดินโคลน ลึกประมาณ 55 เมตร สภาพท้องเรือทั่วไปยังอยู่ในสภาพดี ที่ดาดฟ้าเรือมีสาหร่าย หอย และสิ่งมีชีวิตเป็นจำนวนมาก ไม่สามารถระบุส่วนของเรือได้ สะพานเดินเรือผุพัง สภาพถังแก๊สที่บรรจุแก๊สแอลพีจี. ยังมีความสมบูรณ์ สภาพของวาล์ว เปิด-ปิด มีหอยเกาะอยู่ เป็นจำนวนมากและหนามาก ส่วนตั้งแต่หัวเรือลงมามีความลึกประมาณ 10 เมตร พบฟองอากาศซึ่งเป็นแก๊สรั่วออกมาบริเวณใต้ตะแกรง ช่องทางเดินกลางลำเรือตลอดแนว มีฟองอากาศผุดจากเรือขึ้นสู่ผิวน้ำ เป็นฟองอากาศจำนวนมาก ประมาณ 10 ลิตร ต่อนาที ทางชุดสำรวจจึงไม่กล้าถอดอุปกรณ์ หรือเข้าไปในตัวเรือ เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดอันตรายต่อสุขภาพของเจ้าหน้าที่ ด้าน พล.ร.ท.วิชัย จันทร์แทน เจ้ากรมอุทกศาสตร์ กล่าวว่า ในวันนี้ได้จัดเตรียมอุปกรณ์ชุดไฟลงเรือตรวจการณ์ หมายเลข 41 ออกจากท่าเรือแหลมเทียน ฐานทัพเรือสัตหีบ คาดว่าจะสามารถติดตั้งสัญญาณไฟได้ ในวันที่ 9 ก.พ. ซึ่งการติดตั้งสัญญาณไฟในครั้งนี้ จะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากการทำงานมีวงจรไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ และมีแก๊สรั่วออกมาจากเรือมากขนาดนี้ ถ้าเกิดประกายไฟขึ้นอาจทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้ และหลังจากที่ทราบว่ามีแก๊สรั่วออกมามาก จึงได้เรียนให้ พล.ร.อ.ประเสริฐ บุญทรง ผบ.ทร. ทราบ พร้อมกับประกาศชาวเรือให้ประกาศเขตเรือแพ็ควัน เป็นเขตอันตราย ห้ามเรือผ่านเข้ามาในระยะ 3 กม.เป็นอย่างน้อย ถ้าการดำเนินการยังยืดเยื้อไม่สามารถดำเนินการได้ ในระยะแรก ก็จำเป็นต้องติดไฟในลักษณะประภาคารเคลื่อนที่ไว้ที่บริเวณเรือลำนี้ ซึ่งจะดำเนินการในเดือน มี.ค.นี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ตำแหน่งเรือแพ็ควัน ได้เคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ มุ่งหน้าไปทางประเทศกัมพูชา ห่างออกไปจากพิกัดเดิมประมาณ 8 กม. ห่างจากเกาะกูด จ.ตราด ประมาณ 80 กม. ห่างจากเกาะช้างประมาณ 70 กม. สำหรับแก๊สแอลพีจี.หรือก๊าซหุงต้มชนิดเหลวสำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงในอุตสาหกรรม และเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี สามารถละลายในน้ำได้ ไม่มีสี แต่มีกลิ่น และถ้าเติมสารประกอบซัลเฟอร ์ จะเป็นวัตถุไวไฟ และสามารถติดไฟได้เองภายใต้อุณหภูมิ 400-500 องศาเซลเซียส และสามารถทำปฎิกิริยารุนแรงกับคลอรีน โบรมีน ฟลูออรีน มีผลกระทบทางระบบทางเดินหายใจ จะทำให้เกิดระคายเคืองต่อจมูก และระบบทางเดินหายใจ และหากสูดเข้าไปปริมาณมาก จะทำให้หมดสติได้ รวมทั้งบริเวณที่สัมผัสจะเกิดแผลให้เห็นได้อย่างชัดเจน นอกจากนั้นหากปล่อยให้แก๊สรั่วอยู่อย่างนี้ จะทำให้เกิดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมทางทะเลอย่างแน่นอน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญได้ให้ข้อมูลว่า ถึงแม้ว่าของเหลวซึ่งเป็นก๊าซจะรั่วออกมาแล้วก็ตาม แต่ถังที่เคยบรรจุแก๊สทุกใบจะมีแรงดัน ซึ่งก็ยังมีโอกาสระเบิดได้ทุกเมื่อ หากมีแรงอัด หรือแรงกระแทกอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันการแตกตัวของก๊าซในสภาพของเหลวกลายเป็นไอ สามารถขยายตัวได้ถึง 270 เท่า และถ้าหากมาผสานกับอากาศ ความร้อน เชื้อเพลิงที่เหมาะสมก็มีอัตราเสี่ยงในการระเบิดได้อีกเช่นกัน นายเมตตา บันเทิงสุข รองเลขาธิการ สพช.กล่าวว่าการที่แก๊สแอลพีจี. รั่วซึมออกมาจากเรือที่จนอยู่ในทะเลนั้น ไม่มีอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมในท้องทะเลบริเวณนั้น ซึ่งแก๊สที่รั่วออกมาจะเป็นแรงดันอากาศขึ้นมาเป็นฟองอากาศ และระเหยไปไม่มีอันตราย แต่ก็ควรระมัดระวังไม่ให้เกิดประจุไฟฟ้า เพราะอาจจะเกิดเปลวไฟขึ้นมาได้ ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับแผนการกู้เรือก๊าซอย่างปลอดภัย ควรถามรายละเอียดกับกรมโยธาธิการ ซึ่งรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยในการขนส่งเชื้อเพลิงโดยตรง ที่พัชรประกันภัย อาคารเมอร์ คิวรี่ แยกชิดลม ได้มีการประชุมกันระหว่างตัวแทนบริษัทกรุงเทพประกันภัยซึ่งเป็นผู้รับประกันสินค้าที่บรรทุกในเรือแพ็ควัน กับบริษัทพัทรประกันภัยซึ่งรับประกันในส่วนของตัวเรือแพ็ควัน โดยการประชุมต้องการหาข้อสรุปในการกู้ซากเรือเป็นอันดับแรก เนื่องจากทางบริษัทกรุงเทพประกันภัยได้รับการประสานมาจากกองเรือภาคที่1 ในเรื่องการกู้ซากเรือ นอกจากนั้นทางบริษัททั้งสองจะไดหารือกันถึงเรื่องการจ ่ายสินไหมทดแทนให ้กับบริษัทแพ็คไลน ์ ไปแล ้วแต ่ได ้มีลูกเรือมาเปิดเผยความไม ่ชอบมาพากลในการเรื่องการเบิกสินไหมทดแทน จึงได ้นำเรื่องรายละเอียดของเรือแพ็ควันมาร ่วมกันพิจารณาอีกครั้ง โดย พัชรประกันภัย รับประกันตัวเรือแพ็ควันไว ้ในวงเงิน 17.5 ล ้านบาท ส ่วนการประกันราคาสินค ้าซึ่งบริษัทกรุงเทพประกันภัยรับผิดชอบนั้น ยังไม ่เป็นที่เปิดเผย

ที่มาข้อมูล
http://www.whalesharkthai.com
วิชาการ.คอม (
http://www.vcharkarn.com/vnews/5837) สืบค้นเมื่อ 19 มี.ค.2552
http://www.dailynews.co.th
http://www.thaiwreckdiver.comhttp://www.aquanautsdive.com/news/dj/hiddenwr
Read more >>

ปรมาจารย์นักดำน้ำกองทัพเรือดับปริศนาที่เรือแพ็ควัน



ขณะถ่ายภาพการฝึกของนักเรียน
เมื่อเวลา 05.30 น. วันที่ 18 มี.ค.2552 ผู้สื่อข่าวได้รับทราบว่า เรือหลวงมันกลาง ซึ่งเป็นเรือระบายพลขนาดกลาง ได้นำศพของ ร.อ. มงคล โป๊ะแดง อายุ 43 ปี ประจำหมวดประดาน้ำ แผนกปฎิบัติการใต้น้ำ กองทดสอบสรรพาวุธ กรมสรรพาวุธทหารเรือ(พื้นที่สัตหีบ) อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี มาส่งที่ ท่าเทียบเรือแหลมเทียน ฐานทัพเรือสัตหีบ เนื่องจากเสียชีวิตเพราะลงไปดำน้ำฝึกนักเรียนประดาน้ำ ทำชั่วโมง และถ่ายภาพเรือแพ็ควัน จึงรุดไปตรวจสอบ พบเรือหลวงมันกลาง กำลังเข้าเทียบท่าเรือ บริเวณท่าเทียบเรือมีข้าราชการสังกัดกรมสรรพาวุธทหารเรือ นักประดำน้ำ ภรรยา บุตร และญาติของ ร.อ.มงคล ได้มารอรับศพ ด้วยบรรยากาศเศร้าสลด เนื่องจาก ร.อ.มงคล เป็นที่รักใคร่ของผู้บังคับบัญชา รุ่นพี่ เพื่อน รุ่นน้อง และลูกศิษย์ทุก ๆ คน
หลังจากนั้นได้นำศพส่งชันสูตรที่โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ ต.พลูตาหลวง อ.สัตหีบ ทั้งนี้อุบัติเหตุดังกล่าว เกิดขึ้นขณะที่ ร.อ.มงคลได้รับมอบหมายให้เป็นผู้อำนวยการฝึก นักเรียนประดาน้ำรุ่นที่ 24 จำนวน 41 คน โดยได้พานักเรียนลงเรือหลวงมันกลาง ไปฝึกดำน้ำที่เรือแพ็ควัน (เรือแก๊สผีสิงที่ กองเรือภาคที่ 1 ลากมาจมไว้ที่อ่าวจังหวัดระยอง ) ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2552 จะสิ้นสุดในวันที่ 30 มีนาคม 2552 แต่ต้องมาเสียชีวิตขณะดำน้ำทำชั่วโมง และฝึกนักเรียน
ร.ท.มงคล บุญทัน หัวหน้าชุดฝึกที่ร่วมเดินทางไปด้วย กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีใครคาดคิดว่าจะต้องสูญเสียกำลังพลที่มีความสามารถพิเศษขณะดำน้ำได้ เพราะขณะที่ดำน้ำทำชั่วโมง คอยฝึกนักเรียนใต้น้ำบริเวณเรือแพ็ควัน ก็ไม่มีสิ่งผิดสังเกตแต่อย่างใด จนในที่สุดได้ขึ้นมาบนเรือพร้อม ๆ กัน แต่ ร.ท.มงคล โป๊ะแดง ได้หยิบกล้องวีดีโอถ่ายภาพใต้น้ำโดดลงไปจากเรือและดำน้ำเพื่อลงไปถ่ายภาพการฝึกของนักเรียน และถ่ายภาพเรือแพ็ควัน แต่ปรากฏว่าขณะที่ดำไปทางด้านหัวเรือได้สักครู่ เห็นว่ามีอาการแน่นิ่งไป จึงได้เกิดความสงสัย ให้นักเรียนช่วยกันพยุง รักษาระดับน้ำจนขึ้นบนเรือ ถอดอุปกรณ์ออกจนหมด ประสานขอเฮลิคอปเตอร์จาก ทัพเรือภาคที่ 1 รับขึ้นบกเพื่อรักษาในห้องปรับแรงดันอากาศสูง แต่ไม่ทัน ร.ท.มงคลหมดลมหายใจไปอย่างรวดเร็ว และยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดว่าเป็นอะไร ต้องรอผลการผ่าพิสูจน์ของแพทย์ก่อน
เบื้องต้นน่าจะเกิดจากดำน้ำนานเกินไป ทำให้ร่างกายอ่อนเพลียเพราะน้ำที่เรือแพ็ควันลึกประมาณ 40 เมตร ส่วนเรื่องอุปกรณ์ดำน้ำคงไม่น่ามีปัญหาอะไร มีสภาพใหม่ ระบบทันสมัย ระบบวงจรปิด หรือที่เรียกว่า สกรูบาร์
สำหรับเรือแพ็ควัน ในปัจจุบันใช้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว และสอนนักดำน้ำระดับสูง อดีตเป็นเรือบรรทุกแก๊สแอลพีจี มีความยาว 61.80 เมตร กว้าง 10 เมตร กินน้ำลึก 4.50 เมตร ได้จมลงสู่ก้นทะเล บริเวณปลายแหลมใบลาน เกาะช้าง จังหวัดตราด เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2539 มีลูกเรือเสียชีวิตทั้งหมด 11 คน สูญหาย 9 คน และเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2545 หัวเรือแพ็ควันได้ลอยโผล่เหนือน้ำสูงจากผิวน้ำประมาณ 5 เมตร กองเรือภาคที่ 1 กองเรือยุทธการ ได้ทำการสำรวจ และระเบิดแก๊สออกจนหมด ลากเรือมาจมไว้ที่ อ่าวจังหวัดระยอง พิกัด แลตติจูด 12 องศา 10 ลิปดาเหนือ ลองติจูด 101 องคา 45 ลิปดาตะวันออก น้ำลึก 40 เมตร ขณะนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวดำน้ำที่สมบูรณ์ เป็นที่นิยมของนักดำน้ำ และเป็นโรงเรียนสอนดำน้ำระดับสูงอีกด้วย ซึ่งเรือแพ็ควัน ได้ถูกขนานนามว่าเป็นเรือผีสิง เพราะลูกเรือเสียชีวิตติดอยู่ในระวางเรือ และหายสาบสูญถึง 9 คน ศพล่าสุดที่ต้องสังเวยเรือแพ็ควัน ก็คือ ร.อ.มงคล โป๊ะแดง ปรมาจารย์นักดำน้ำแห่งกองทัพเรือ
สำหรับ ร.อ.มงคล อายุ 43 ปี มีภูมิลำเนาเดิมอยู่ จ.นนทบุรี เป็นนักเรียนจ่าทหารเรือ โรงเรียนชุมพลทหารเรือรุ่นที่ 26 นักเรียนประดาน้ำ รุ่นที่ 12 มีผลงานมากมายในการปฎิบัติงานใต้น้ำ และถอดทำลายวัตถุระเบิด ตำแหน่งปัจจุบัน ประจำหมวดประดาน้ำ แผนกปฎิบัติการใต้น้ำ ถอดทำลายอมภัณฑ์ กองทดสอบสรรพาวุธ กรมสรรพาวุธทหารเรือ ได้รับมอบหมาย

ที่มา : น.ส.พ.ข่าวสด 18 มี.ค.2552
http://www.matichon.co.th/khaosod/view_newsonline.php?newsid=TVRJek56TTJNemMzTlE9PQ==
Read more >>